Monday, December 24, 2007

กบในกะลา

จริงๆแล้วไม่อยากแทรกเรื่อง ปารีสกับโฮวองเลย... แต่ก็ต้องแทรกล่ะนะ เพราะเรื่องนี้ว่าจะเขียนทีไร พอทำโน่นนี่ก็ลืมทุกที

เรื่องมันมีอยู๋ว่า...

การที่ได้มาเจอโลกมากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย (จริงๆแล้วมากกกกก ครับ) ทำให้เห็นว่า ไม่ว่าเราจะเคยเป็น เคยมี เคยรู้ เคยทำ อะไรมามากมายแค่ไหน (ในความคิดของตัวเอง) แต่เฮ้ย..โลกข้างนอกนั่นยังมีอะไรอีกเยอะแยะนะเว้ย ที่แกยังไม่รู้

และจากการพูดคุยกับคนหลายๆๆคน ยิ่งทำให้รู้สึกได้ว่า เฮ้ย... มันไม่มีใครที่รู้ทั้งหมดนะเว้ย ไม่มีจริงๆ ไม่มีบันทัดฐานใดถูกต้อง เพราะมันไม่มีจริงๆ (เหมือนเคยบอกเรื่องนี้ไปครั้งนึงละ)

คือที่ทำให้รู้สึกอย่างนี้เพราะ..
หนึ่ง มีโอกาสรู้จักคนต่างชาติ ต่างชาติจริงๆนะ คือไม่ใช่แค่ฝรั่ง คุณอย่าไปเหมาไอ้พวกหน้าตาแปลกๆไม่เหมือนเอเชียเราว่าเป็นฝรั่งอย่างเดียว โลกนี้มีมากกว่าสองร้อยประเทศนะขรั่บ และขอยืนยันว่า แต่ละสังคมประเทศก็มีความแตกต่างกันในแง่ความคิด ทัศนคติ และการดำเนินชีวิต

สอง มีโอกาสได้รู้จักคนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ทั้งคนที่ฉลาดมีการศึกษา คนโง่ไม่มีการศึกษา และคนฉลาดไม่มีการศึกษา...

วันนี้สรุปอะไรบางอย่างได้ว่า...
คนเล่นไพ่ได้เท่ห์ๆ ไม่ได้แปลว่าเค้าเข้าบ่อนเล่นไพ่บ่อยๆนะครับ
คนที่ไม่แต่งตัว ไม่ได้แปลว่าเค้าไม่มีเงิน แต่เค้าไม่ชอบแต่งตัวครับ
คนไทยไม่ได้โง่ เรื่องมาก งี่เง่า อวดรวยทุกคนนะครับ
คนไทยที่อยู่เมืองนอก ไม่ได้ดี มีมารยาท รำ่รวย เป็นผู้ดี และ หรือ มีความสุขทุกคนนะครับ
คนฝรั่งไม่ได้เป็นคนดีเสมอไป และไม่ได้เลวเสมอไป เพียงแต่คนที่อยู่ในสิ่งแวดแล้อมที่เรียกว่า สากล เค้าจะเข้าใจการสื่อสารที่ดี ว่าทำอย่างไรให้ได้ผลดี ผลประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด (ง่ายๆก็คือมันกะล่อนครับ)
เซ็กส์กับฝรั่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเสมอไป ฝรั่งดีๆ ก็มีเยอะนะครับ แต่เค้าคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่รักนั้นมันทำให้ผูกพันลึกซึ้ง(และสนุก!ด้วย) เท่านั้นเอง (เฮ้อ ก็ยังทำใจยอมรับแบบเนียนๆยังไม่ได้ว่ะ) คือคนดีๆ เค้าก็ไม่ไปซี้ซั้วมีเซ็กส์กับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันหรอกครับ
...แต่อ๊ะๆๆ ซีไม่ได้บอกว่า เซ็กส์กับฝรั่งเป็นเรื่องยากนะครับ เพราะถ้าเค้าเกิดมีแพสชั่น (passion) ด้วยขึ้นมา (และหน้าด้านพอ... ซึ่งส่วนใหญ่มันหน้าด้านครับ หรือถ้าพูดให้สวย ก็ต้องบอกว่า คิดอะไรก็ทำอย่างนั้น ปากตรงกับใจ อะไรทำนองนั้น ) มันก็ขอกัน บอกกันดื้อๆเลยครับว่ามันอยากมีจุดๆๆๆด้วย เฮ้อ...

คนที่เคยอยู่ยุโรป หรือคนยุโรปเอง ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะเข้าใจวัฒนธรรม และ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ ยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าให้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในจีน หรือ เมืองไทย เช่นเดียวกับคนไทยที่บางครั้งเราก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางของประเทศตัวเองจริงๆ

คนที่มีประสบการณ์ในต่างแดนมามากมาย อาจจะให้ข้อคิด ความรู้ที่เป็นมุมมองใหม่ๆกับเรา แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดครับ เพราะความคิดเหล่านั้นสะท้อนผ่านอารมณ์ ความรู้ ความเข้าใจของตัวบุคคล ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด ...ไม่ได้บอกว่าเชื่อถือไม่ได้นะ แต่ถ้าได้ไปเจอด้วยตัวเองแล้ว ก็สรุปได้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เค้าว่าซะทีเดียว (บางทีก็สุดขั้ว คนละเรื่องกันไปเลย)

ถ้าคนเราไม่ตัดสินคนอื่น สิ่งอื่น ก่อนที่จะได้รู้จักคนๆนั้นจริงๆ สิ่งนั้นจริงๆ โลกนี้จะเป็นอะไรที่น่าอยู่มากเลย...

แต่น่าเสียดาย น้อยคนนักที่เราเคยพบเจอ จะเป็นเช่นนั้น แต่จะหาคนเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อตัวเราเอง บางครั้งยังตัดสินคนอื่นจาก ภายนอก บวกกับข้อมูลพื้นฐานเช่น น้ำหนัก ส่วนสูง .... เอ่อ ไม่ใช่ เอาใหม่ กับข้อมูลพื้นฐานเช่น ชาติ ศาสนา ผิวพรรณ ภาษาที่ใช้ ระดับการศึกษา...

สุดท้ายก็ได้แต่พร่ำเตือนตัวเองว่า ... เรานี่มันก็แค่ "กบในกะลา" อย่าตัดสินอะไรเร็ว มองโลกในแบบที่มันเป็นจะดีที่สุด...

ปล. วันนี้คริสต์มาสครับ ไม่ได้เกี่ยวไรกับศาสนานะ แต่ที่นี่เค้าฉลองกัน (ในครอบครัว) ซวยสิกู ครอบครัวอยู่เมืองไทย... ยังไงก็สุขสันต์วันคริสต์มาสคร้าบบบบ

Wednesday, December 19, 2007

Paris and Rouen(1)

วันนี้มาเยือนปารีสเป็นครั้งที่สอง หลังจากครั้งก่อนหลงเข้ามาแบบไม่ตั้งตัว และงงงวยออกไปแบบเอียนๆปารีส กลับมาใหม่ไฉไลกว่าเดิม ด้วยการนั่ง TGV ทีจีวีเป็นรถไฟด่วน วิ่งไฮสปีดที่สามร้อยกิโลกว่าๆต่อชม.เท่านั้น เราก็มาถืงปารีสสมใจนึกในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง

ลงจากรถไฟที่สถานี 'Paris est' มองไปมองมางงๆ เหมือนบ้านนอกเข้ากรุงยังไงอย่างงั้น เห็นคนยืนจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มๆนึกว่ามีการก่อหวอดอะไร เดินไปดูใกล้ๆ เป็นแท่งไฟแรงสูงไว้เป็นที่ทำความร้อน คนที่ไปยืนรอบๆก็จะอุ่นคะ ก็เลยยืนถ่ายรูปด้วยมือข้างซ้าย เพราะมือข้างขวาถือกระเป๋าเอกสาร โดนอาจารย์เดินมาเตือนว่า ระวังโดนคว้ากล้องไปจากมือ อันตรายมากที่นี่โดยเฉพาะในสถานที่พลุกพล่านแบบนี้... จ๋อยสนิท อยู่ลักซ์เซมเบิร์กจนเคยตัว

เดินหาทางออก และทางไปยังอีกสถานีรถไฟอีกแห่งนึง กว่าจะไปถึงสถานี เช็คเวลารถไฟต่อไปยังเมือง Rouen ก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมง... เฮ้อปารีส

บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน สภาพบ้านเมืองบอกได้เลยว่า เรารู้สึกว่า เจริญกรุงเป็นยังไง ปารีสก็เป็นอย่างนั้นแล เก่าๆๆ ซอกมุมเยอะแยะ บางแห่งดูน่ากลัวมากๆๆ บางแห่งดูไม่น่าดูเฉยๆ คนเต็มไปหมด แต่ไม่มีใครสนใจใคร ไม่มีใครรักษาความสะอาด รถราขวั่กไขว่ คนก็จะเดิน รถก็จะไป.. อื้ม ปารีส

เมื่อหาที่ทาง ตารางเวลาเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปหาที่กินข้าว ตอนแรกจะเข้าไปกินในร้าน... Hippotomus เข้าใจว่าประมาณนี้ ร้านนี้เป็นสเต็กเฮ้าส์ ประมาณนั้น ก็รู้มาว่าพอใช้ได้ แต่ที่เต็ม เลยต้องเดินไปอีกหน่อยหาไรง่ายๆกิน ก็เจอแมคโด

พระเจ้าคนเป็นร้อยล้าน ทำคิวแบบร้านอาหารเลยทีเดียว คือมีคนมารับออเดอร์ตามคิวก่อน ชั่นล่างทั้งชั้นที่ปกติจะเป็นเคาน์เตอร์และมีที่นั่งด้วย ที่นี่มีแต่คิวของคนล้วนๆ พอเราถืงเคาน์เตอร์ยื่นบิลที่ได้จากแคชเชียร์ที่วางอยู่ก่อนเคาน์เตอร์รับอาหาร ก็จะได้อาหารไม่ถึงนาที... หาที่นั่งสิทีนี้ ไม่มีที่นั่งครับพี่น้อง เต็ม ทั้งชั้นใต้ดินและชั้นบนน ต้องยืนรอกันเลยทีเดียว แถมที่นั่งก็นั่งกันแบบปลากระป๋อง... ปารีส ฮึ่มๆๆ

ระหว่างนั่งกิน คนจะเข้าจะออก ก็ต้องให้เราลุกหลบ นึกออกมะ เซ็ง... ออกจากแมคโดไปรอรถไฟ มีทหารถือ c3 from CS มายืนกันสามคน นี่มันจะทำให้รู้สึกปลอดภัยหรือกลัววะเนี่ย...

ดีนะที่รถไฟทั้งทีจีวี และทรานเซียน นี่เป้น เฟิร์สคลาสทั้งคู่ได้นั่งสบายๆๆนิดนึง

ถึงโฮวองในอีกชั่วโมงสี่สิบห้านาทีต่อมา เดินหาโรงแรมกันให้เมื่อย แต่บรรยากาศของเมืองที่นี่ทำให้ผ่อนคลายได้หน่อย อากาศสบาย (หนาว) ผู้คนไม่ล้นเมือง แถมอาคารบ้านช่องก็เต็มไปด้วยศิลปะโกธีค

Sunday, December 16, 2007

บนรถเมล์คันนั้น ที่ฉันดันหลง !

วันนั้นเป็นวันที่เหนื่อยๆ อยากกลับบ้าน ทำไรอร่อยๆกิน รีบลงจาก Eurobus ที่ Fond. Pescatore แล้วเดินเลียบมาทาง salle de bains เพื่อมาดักรอรถเมล์ที่ป้าย BadanStalt ซึ่งเป็นป้ายหลังจาก Hamillius
ต้องอธิบายก่อนสินะว่าปกติแล้วเนี่ย ยูโรบัสจะไปมีเส้นทางดังนี้
จาก พลาทูเคียชเบิร์ก เลี้ยวเข้ามาจอดที่ฟอนด์เพสกาโตฮ์ ซึ่งเป็นพาร์ด จากนั้นตรงไปมีไฟแดงสองอัน ก่อนที่จะเลี้ยวขวาเพื่อเลี้ยวซ้ายแล้วจอดที่ป้าย Royal เราต้องลงที่จุดนี้เพื่อข้ามถนน เดินต่ออีกหนึ่งบล็อคเพื่อถึง ฮามิลิอุส (ท่ารถ เหมือนอนุสาวรีย์)

แต่ถ้าเราลงที่ ฟอนด์เพสกาโตฮ์ แล้วเดินตรงไปจนถึงไฟแดงที่สอง (เหมือนรถเมล์) แต่เราเลี้ยวซ้าย ข้ามถนน เดินเลียบแซลเดอร์บาง ก็จะถึงป้ายรถเมล์ บาดันฉตัลต์
ซีว่ามันเร็วกว่านะ กับการต้องเสียเวลาไฟแดง แถมต้องเดินอีก ก็เดินมันซะเลย

รีบเดินอย่างเร็ว เพื่อออกกำลังกายไปในตัว และจะได้ไม่ต้องรอรถเมล์นาน จำได้ว่ามันจะมาตอน ทุกเจ็ด ยี่สิบหก ประมาณนั้น ปรากฎว่าจำเวลาผิดคะ
ก็เลยต้องยืนรอเกือบสิบนาที ด้วยอากาศ ลบสามองศา... ดีจริงๆ

รถเมล์คันแล้วคันเล่า ผ่านไป๋... ในที่สุดเราก็เห็นรถเบอร์เก้าผ่านมา เดินขึ้นรถเมล์แบบหิว หิว ไม่ได้คิดไร
รถเมล์ก็พาเราเลี้ยวซ้าย คิดในใจ นีมันจะพาอ้อมอีกแล้วเรอะวันนี้ จะทำถนนไรกันบ่อยๆวะ
ก็ช่วงมัน คิดว่าคงมีไรกับถนนอีกแล้ว
...
นั่งเล่นเรื่อยเปื่อยไปได้ยี่สิบนาที เฮ้ย มันชักยังไงๆแล้ว นานเกิน
อีกห้านาที เฮ้ย ทำไมมีห้าง มีแมคโด มีควิก แถวเมืองตรูมันไม่มีนี่หว่า
เฮ้ย ไอ้เบคคิน (Beggin) นี่มันที่ไหนวะ ตัดสินใจป้ายต่อมาที่รถเมล์จอด เดินไปถามคนขับ
ZLeon: "Est-ce que vous allez a' la rue de Neudorf?"
Bus driver: "Ah, non!"

ซวยสิกู ก็เลยลง ข้ามไปอีกฝั่ง ขึ้นรถเมล์กลับขึ้นมาใหม่...
เฮ้อ รถเมล์ที่เราาขึ้นคือ 282 ...

Saturday, December 15, 2007

Silent!!!... I'll kill you!!!

My friends here says something with strange face (to be precise, it's funny)

Silent...!!!
I'll kill you...!!!
I've been screw (ha ha ha)
I told the joke! (ha ha ha)
I told another one (ha ha ha)
HA HA HA...!!!

They come from here "Achmed the Dead Terrorist".

Thursday, December 13, 2007

Learn LaTeX : Complex doc on e-mail

Your correspondent doesn't have a TeX installation? You have these options:

1. convert the TeX source file to HTML. There are good conversion programs for this purpose. Then your correspondent can read your text using a web browser.

2. Does your correspondent have access to a Postscript printer? If yes, you could send a fully typeset version of your document in the form of a postscript file, which she can just send to the printer. And/or she can view it on screen if she installs the "ghostview" program (free)

3. Does your correspondent have the "Acroread" reader for Adobe PDF files installed? If so, you can send a PDF version of your typeset document.

Learn LaTeX : damn basic 1

Source: http://www.ecn.wfu.edu/%7ecottrell/wp.html
Link: LaTeX with Mac
very useful link

Text editors -- about Text editors and ASCII Character

Typesetter -- about TeX and LaTeX in general
-- introduce "document class" = type of document and "packages"= style of document
-- "preamble" of ASCII source file
--
"hands off" approach: just specify a document class and leave the rest up to the default macros
How this all work...


Text editors

What is a text editor and how does it differ from a word processor.
Text editor nowadays looks a bit like a word processor, except it has no typesetting functionality. (no pretense at representing the final printed appearance of the document.)

When you save your document, it is saved in the form of 'plain text', which in the US context usually means in "ASCII" (The American Standard Code for Information Interchange).

ASCII is composed of 128 characters (7-bit character set), including 0-9, the roman alphabet in both upper and lower case, the standard punctuation marks, and a number of special characters. An ASCII message will be understandable by any computer in the world.

Since a text editor does not insert any binary formatting codes, if you want to represent features such as italics you have to do this via 'mark-up'. That is you type in 'an annotation' (using nothing but ASCII), which will tell the typesetter to put the specified text into italics.

\textit {stuff you want in italics}

Actually, if you are using a text editor which is designed to cooperate with LaTex you would not have to type this yourself. You'd type some kind of shortcut sequence, select from a menu or click an icon, and the appropriate annotation would be inserted for you.


typesetter

The basic typesetting program that I have in mind is called TeX. It is available for free in formats suitable for just about every computer platform. TeX was written by Donald Knuth of Stanford University. He started work on TeX in 1977 and in 1990 he announced that he no longer intended to develop the program because by this time the program was essentially perfected.

If TeX is the basic typesetting engine, LaTeX is a large set of macros, initially developed by Leslie Lamport in the 1980s and now maintained by an international group of experts. These macros make life a lot easier for the average user of the system. LaTeX is still under active development, as new capabilities and packages are built on top of the underlying typesetter. Various "add-ons" for TeX are also on progress, such as a system which allows you to make PDF files directly from your ASCII source files.

"you indicate the desired structure and formatting of your document to LaTeX in the form of a set of annotations."

one very attractive feature of LaTeX is the ability to change the typeset apprearance of your text drastically and consistently with just a few commands. The overall appearance is controled by

1. "document class" that you choose (e.g. report, letter, article, book)
2. "packages" or style files that you decide to load.

By altering just one or two parameters in the "preamble" of your ASCII source file, you can completely change the font family, sizes of the fonts used, for examples.

You can get as complex as you care too, type setting with LaTeX. You can choose a "hands off" approach: just specify a document class and leave the rest up to the default macros.

The typesetting being of much higher quality than any word processor. (Natually, things like numbering of chapters, sections and footnotes, cross-references and so on, are all taken care of automatically.)

Or you can take a more "interventionist" approach, loading various packages (or even writing your own) to control various aspects of the typography. If this is your inclination, you can produce truly beautiful and individual output.


How this all work...

If you have a good TeX setup it's like this:
- you type your text into a TeX-aware editor
- when you reach a point where you'd like to take a look at the typeset version you make a menu choice or click a button in the editor to invoke the typesetter.
- open a previewer in which you see the text as it will appear at the printer.
- at some later point in the process you want to preview the updated file. Click the typesetter button again. This time you on't have to invoke the previewer again: if you've left it running in the background it will now automatically display the updated typeset version.
- when you're done with an editing session you can delete the typeset version of the file to conserve disk space. You just need to save the ASCII source file: the typeset version can easily be recreated whenever you need it.

Comment :
I think this is enough for the starter to know roughly and won't be loss with some annotation regard TeX, LaTeX, Preamble...

I'm currently enjoying and reading more...

Wednesday, December 12, 2007

ประกายเพชร

เฮ้อ... วันนี้โทรไปหาร้านเพชรที่เคยไปฝึกงาน กะว่ากลับบ้านคราวนี้จะไปสวัสดีเสียหน่อย ไม่ได้ไปเลยตั้งแต่ฝึกงานเสร็จ
"อาอี้" เถ้าแก่เนี้ยของร้านก็เอ็นดูเราอยู่บ้าง ก่อนจบการฝึกงานแกก็ได้ให้พระหลวงปู่แหวน (น่าจะใช่) บอกให้ไว้เพื่อคิดถึงอาอี้
ปรากฎว่าพี่พนักงานในร้านบอกว่า อาอิ้เสียไปสามปีได้แล้ว กระทันหันมาก ไม่มีใครได้ตั้งตัว
ซีเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน ยอมรับว่าช็อคไปนิดนึง ใจหาย บอกไม่ถูก
ยังหายใจหายคอไม่คล่อง พี่พนักงานก็บอกต่อว่า อาเตี๋ย แต่งงานใหม่แล้ว ภรรยาใหม่มาดูแลร้านเสียด้วย...
พี่วี แต่งงานไปอยู่ซานฟราน อันนี้ก็รู้นานมานานแล้ว ส่วนน้องณัฐก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา พี่ดา คนทำงานเก่าก็ลาออกไปแล้ว เหลือแต่พี่สาว พี่หมี พี่นา

อยากบอกกับอาอี้ว่า ซียังเคารพและนึกถึงเสมอมา เพียงแต่จังหวะไม่อำนวย เลยไม่ได้เข้าไปสวัสดีสักครั้ง ถ้าเข้าไปก่อนหน้านี้ก็คงดี กลับไปหวังว่าจะได้มีโอกาสคารวะอาอิ้ ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไปแล้วก็ตาม... (อาอิ้ไม่ต้องมาหาหนูก็ได้นะคะ ไม่เป็นไรคะ)

Sunday, December 9, 2007

มาดูกันดีกว่า เดือนที่แล้วใช้จ่ายอะไรไปบ้าง

เดิอนพฤศจิกายน เดือนนี้ถือเป็นเดือนแปลก ใช้จ่ายแบบแปลกๆ เหตุเพราะไม่สบายหลายวัน บวกกับสภาพจิตใจไม่ปกติ
ว่าแล้วลองเอาบิลที่เก็บๆไว้ มาคำนวณกันดูดีกว่า ว่าซื้อไรมามั่ง และหมดตังค์ไปเท่าไร

07 Nov 07 -- 15,54 Euro
milk 1L 2,36 Euro per 2
yogurt 0,125L 1,60 Euro per 4 x2
oeuf (egg) 12 pieces 2,10 Euro 
poivron mixte 3 pieces 1,99 Euro
minced meat 5% 350 g 3,60 Euro
champignon 500 g 2,29 Euro

15 Nov 07 -- 34,09 Euro -- accu = 49,63 Euro
@Auchan
choco twist 90 g 3,24 Euro per 3
poche pommes  80 g 1,08 Euro 
lasagne bolog 2,00 Euro
beef steak 8,55 Euro per 6
maggi 300ml 2,00 Euro 
salad mixer 2,50 Euro per 10
barre corny 2,39 Euro per 6
barre choco 1,80 Euro per 5
@Alima
thon 200g 2,15 Euro
wagner pizza 350g 3,98 Euro per 2
bread 500g 1,50 Euro
florette salade 2,90 Euro
17 Nov 07 -- 23,61 Euro -- accu = 73,24 Euro
milk  1L  x2  2,36
Pineapple juice  1L  x2  1,60 
Yogurt 0,125  x12 5,14
Kinder (snack) 5 piece 1,25
blank book x1 1,25
filet chicken vers 1 kg 6,55
pizza bolognese x1 1,98
pizza special x1 1,98
bus card x1 1,50

22 Nov 07 -- 3,00 Euro -- accu = 76,24 Euro
chou de chine x1 1,60
mathay pellen eer(oeuf) 10steck 1,40

26 Nov 07 -- 19,21 Euro -- accu = 95,45 Euro
@schlecker
Dove body milk 400Ml x1 3,49 
@Auchan
poivre blanc x1 3,87
Pineapple juice 1L x3 2,40
milk  1L  x1 1,18
sac x1 0,03
filet de saumon x1 3,69
Nescafe 100 gr x1 2,45
oeufs x12 2,10

27 Nov 07 -- 2,99 Euro -- accu = 98,44 Euro
@fischer
croissant praliny 70 gr. x2 2,16 
streusel  80 gr. x1 0,83

30 Nov 07 -- 5,43 Euro -- accu = 103,87 Euro
@Delhaize
kinder 1,35
Lux yogurt(Fraise) x2 1,32
Lux yogurt(lycee) x2 1,67
Citron filet x4 1,09

อืมมมม เห็นตัวเลขแล้วตกใจ เดือนนี้ใช้น้อยนะ คงเพราะอยู่บ้านน่ะแหละ
แต่ก็ยังไม่ได้รวมพวกค่าอาหารที่ออกไปกินข้างนอกนะ อืมมมม

Wednesday, December 5, 2007

visa & window shopping

วันนี้ได้รับจดหมายจาก commun หรือก็คือที่ว่าการเมือง เขียนมาเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างเคย อ่านคร่าวๆได้ความว่าเกี่ยวกัย "วีซ่า" และ "เร่งด่วน" ข้าพเจ้าก็งงเป็นไก่ตาแตก "ไรวะ ก็ไปต่อวีซ่ามาได้เดือนนึงแล้ว จะเอาอะไรอีก" จำเป็นต้องพึ่งเวปแปล แปลคร่าวๆอย่างรวดเร็ว

สรุปความว่าต้องเอาวีซาอันใหม่ไปพร้อมกับจดหมายจากกองคนต่างด้าว แสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่คอมมูน

ทำไมต้องให้ไปสองทีสามที ทำไมไม่ลิงก์ดาตาเบสกันว้า... อืม จำได้ว่าเพื่อนเคยเล่าเหมือนกันว่า ข้าราชการที่นี่ ดีกว่าฝรั่งเศสนิดเดียว แต่เรื่องการเก็บข้อมูลเหมือนกันเป๊ะ คือต่างคนต่างเก็บ ต่างรูปแบบ และบางทีข้อมูลตัวเดียวกัน ดันเรียกต่างกันอีกแน่ะ เพราะฉะนั้นจดหมายที่ออกจากกระทรวงนึง อาจจะใ่ช้ไม่ได้สำหรับอีกกระทรวงนึง กรูจะบ้าตาย... บ้านเมืองเค้าก็เจริญก้าวหน้ามากันได้เนาะ

สรุปว่าตาลีตาเหลือกรีบไปคอมมูนตอนสี่โมงเย็น เสร็จตอนสีโมงห้านาที อื้มมมม รู้งี้ทีก่อนๆๆมา ไม่มาดีกว่าตอนเช้า รอกันเป็นชั่วโมง...

ไหนๆก็เข้าเมืองมาแล้ว ก็ว่าไปซื้อของกินเข้าบ้านซะหน่อย ก็เลยเดินเล่นผ่าน Place d'Armes เค้ามีโนเอลมาเก็ต (Noel = Santa) อยู่ มีเด็กๆมาร้องเพลงตรงกลางลาน บางคนเหมือนถูกบังคับให้มา บางคนก็โชว์พลังเสียงน่าดู ในตลาดแบบนี้ ก็เช่นเคย ต้องมี "บะหมี่" ที่ทำโดยฝรั่ง เจ้าของร้านคือคนจีน เอาพระสังฆจายมาตั้ง ปักโคมไฟแบบญี่ปุ่น เขียนคำว่า "บะหมี่" ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ตัวบะหมี่มีแต่เส้นหมี่ผัดกับซอสและวิญญาณไก่ ผสมกับวิญญาณผักกาด สนนราคาที่ถ้วยละ ห้ายูโร แต่ก็เห็นคนแน่นทุกที นอกจากบะหมี่แล้ว ก็ต้องมีขนมสำหรับเด็กๆ ที่นี่ต้องมี "นูกัด" (Nugat) เป็นเหมือนแตงเมบ้านเรา แต่สีขาว และ ไม่ยืดยาวเหมือนแตงเมบ้านเราเท่าไร กินแล้วมันก็คือน้ำตาลดีๆนี่เอง แต่เด้กๆเค้าชอบกัน มีทั้งแบบผสมถั่วผสมงา ผสมบลาๆๆๆ

เดินผ่านๆๆไป ตอนนี้ทั่วในเมืองได้ประดับประดาไฟตามถนนต้อนรับคริสมาสต์กันแล้ว มันน่าจะดูสนุกสนาน แต่วันนี้เพิ่งรู้สึกตัวจริงๆ ว่าเหงา
เหงามากๆๆๆ อยู่มาจะปีนึงแล้ว เพิ่งรู้สึกครั้งนี้ว่า "เฮ้ย... เหงาว่ะ" ตังค์ก็มี พยายามเดินเข้าไปดูของจะซื้อ แต่มันก็เบื่อๆอ่ะ เดินดูไฟ มันก็สวยดี แต่ก็เหงาๆ คิดถึงพ่อกับแม่จัง เคยคิดว่าพอมีไรทำเยอะแยะมันก็จะไม่เหงา แท้จริงแล้วมันคืออาการเหงาหลบใน ทำเป็นซ่อนเอาไว้ แต่จริงๆแล้วเหงา เฮ้อ...

สรุปความได้ว่า ได้ออกจากบ้านจากการดีบักกิ้งโค้ด มาทำเรื่องเกี่ยวกับ visa และ window shopping

ปล. อยากได้แจ็คเก็ตหนังตัวนึง น่ารักดี สามร้อยห้าสิบยูโร... เหอะๆๆ ฝันไปเถอะแก Massimo & dutti

Sunday, December 2, 2007

ปฎิญาณตน

เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์เลยว่าจะปฎิญาณตัวใหม่ซะหน่อย (เอ่อ ปฎิญาณเป็นกริยา หาใช่คือคนสัตว์สิ่งของไม่ แล้วจะปฎิญาณตนมันเกี่ยวอะไรกับวันอาทิตย์ว้อยยยยย)
คือ สืบเนื่องจากความทุกข์ทรมานเหลือเกินที่ผ่านมา ลองใช้จิตเพ่งแล้ว ก็ไม่เห็นประโยชน์อันใด
พระท่านว่า ความทุกข์มันอยู่ที่ใจ เลยจะขอทำใจใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ ให้สมกับที่เคยเป็นบุคคลปฎิบัติธรรม (ขอย้ำว่า "เคย")

จะไปทุกข์มันทำม้ายยยย เกิดหนเดียว ตายหนเดียว กว่าจะตายยังไม่รู้วันพรุ่งหรืออีกกี่สิบปี
มีเวลาให้โบยบิน ให้คิดให้อ่านแป๊ปเดียว (ก็เพราะไอ้การคิดแบบนี้แหละ ว่ามีเวลานิดเดียว ทำให้เป็นทุกข์ กลัวอ่านเปเปอร์ไม่ทัน กลัวทำโปรแกรมไม่ทัน เป็นไงล่ะ ยิ่งช้าไปกันใหญ่ เพราะเครียดเกิน เร่งตัวเองมากเกิน)
ทีนี่เลยมานั่งคิดใหม่ ไอ้การที่มีเวลานิดเดียว เราเลยต้องทำยังไงให้ชีวิตเป็นสุข
ไม่ต้องเร่งตัวเองนักก็ได้ เหนื่อยนักก็พักก่อน "คนเราไม่ใช่เทวดา" เคยบอกพี่โน้ตอย่างนี้ แล้วพี่โน้ตก็บอกกับเราแบบนี้ ก็คงต้องบอกตัวเองแบบนี้ ไม่ใช่เพื่อให้ปลง แต่เพื่อให้มีกำลังใจ ว่ากูก็คนนะโว้ย ก็ทำเท่าที่ทำได้ อาจารย์กิตก็ว่า เราคิดมากไป การที่ทำไม่ได้อย่างที่คิด มันไม่ใช่ว่าเราไม่มีดี แน่นอนมีคนมากมาย ที่ทำได้ดีกว่าเรา ทำได้มากกว่าเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดี แค่เราทำได้น้อยกว่า เราก็ต้องยอมรับว่าเราทำได้น้อยกว่า ไอ้ความพยายาม มันก็ต้องพยายามกันต่อไป ไม่ใช่ว่า เหนื่อย เมื่อยท้อ แล้วก็หยุดเดิน กำลังเดินไปโรงอาหาร ถ้าบอกว่าเหนื่อย แล้วหยุดเดิน เราก็คงไม่ได้กินข้าว มันก็ต้องเดินต่อไป เดินไปเรื่อยๆ มันก็ต้องมีสักวันที่ได้กินข้าวล่ะว้า (แหม พูดแล้วก็หิว ปล. ตอนนี้สี่ทุ่มครึ่ง)

เออ เอาเป็นว่า ข้าพเจ้าขอปฎิญาณตนไม่ยอมใครผจญ... เฮ้ยๆๆ ไม่ใช่มานั่งร้องเพลงคณะวิทย์ (จริงจังหน่อยเซ่ไอ้นี่) อืม ก็คือว่าจะพยายาม ทำต่อไป ไม่มีแรง ท้อ ก็ไม่ต้องร้องไห้ ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ เปเปอร์นี้เสร็จไม่ทัน ส่งอันหน้าก็ได้วะ เค้าว่าต้องจบในสามปี ก็กูจบไม่ทัน จะไล่ออกก็เอา (เฮ้ย จะดีไม๊วะเนี่ย) นั่นแหละ เลิกเร่งตัวเอง แล้วก็ทำงานไปเรื่อยๆ คนอื่นจะมองยังไงก็ช่าง ขอให้เรารู้ตัวว่าเราพยายาม และตั้งใจทำจริงๆ เป็นพอ (เนอะ) (ฮี่)

Thursday, November 29, 2007

ยามเช้า

ท่ามกลางความเงียบสงัดของสายลม เสียงฝีเท้าหนึ่งค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้น
รองเท้าบู๊ตคู่งามเหยียบผ่านพื้นหินใหญ่น้อยที่เปียกชุ่ม เจ้าของเท้าคู่นี้อยู่ในอาการเร่งรีบ
เสื้อโค้ทสีดำแลดูบางเกินไปกับอากาศที่หนาวและชื้นแฉะเช่นนี้ เธอสวมกอดแขนกระชับเข้า
เสียงตึก ตึก ปลุกให้บรรดาสัตว์ตัวเล็กๆในบริเวณมีการเคลื่อนไหว
กระรอกน้อยกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดมาทางด้านข้าง นกที่มักอยู่กันเป้นคู่ส่งเสียงกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกัน
ในช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้ ใบไม้ร่วงหล่นจนเกือบหมดแล้ว
ม่านต้นไม้ที่เคยกั้นสวนแห่งนี้ไว้เป็นส่วนๆ ได้ถูกเปิดออก
จากจุดที่หญิงสาวกำลังเดินอยู่ เธอสามารถมองผ่านไปทางฝั่งตะวันตกได้อีกราวครึ่งกิโล เว้นเสียแต่ว่าหมอกจะลงหนาเกินพอดี
อย่างเช่นวันนี้...
เธอเดินอยู่บนถนนแห่งหนึ่งในสวนสาธารณะ ท่ามกลางอากาศหนาวและหมอกที่ลงจัด ถึงแม้ขณะนี้คือเวลาเกือบแปดนาฬิกาในยามเช้า
ทว่าทุกอย่างรอบตัวกลับโพล้เพล้จนเกือบเรียกได้ว่ามันยังไม่เช้าเลย

เสียงฝีเท้าหยุดลงฉับพลัน หญิงสาวพยายามมองทะลุม่านหมอกที่บัง บางสิ่งบางอย่างอยู่เบื้องหน้า
สัญชาติญาณบอกกับเธอว่ามีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้น...

"เฮ้ย ไรวะ แล้วจะไปทางไหนล่ะเนี่ย" หญิงสาวเปรยขึ้น
คนงานข้างหน้าเธอสองสามคนมองมาด้วยท่าทีแปลกใจในภาษาที่เธอใช้
"moien" เธอทักทายพวกเขา
"moien.." "moien" "bonjour" พวกเขาทักทายกลับ
คอมมูนคงให้เจ้าหน้าที่มาทำถนนในสวนแห่งนี้ใหม่

สุดท้ายหญิงสาวที่รีบเดินไปเรียนภาษาฝรั่งเศสเลยต้องเดินอ้อมถนนส่วนที่เจ้าหน้าที่กำลังขุดกันอยู่ ไปบนดินเฉอะแฉะ...

จบ

Wednesday, November 28, 2007

พรุ่งนี้ที่รอคอย

ร้องไห้คิดถึงพ่อ แม่ และคุณยาย ครั้งแรกตอนไปกรีซ (สิบเอ็ดวัน) เริ่มร้องไห้คืนที่ห้า นั่นเป็นครั้งแรกที่ห่างบ้านนานกว่าสามวัน
ร้องไห้คิดถึงพ่อ แม่ และคุณยายอีกครั้งตอนมาอยู่ที่นี่ได้สองอาทิตย์ มันเหงา ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะคุยกับใคร ไม่ใช่ว่าไม่มีคนคุยด้วย แต่ไม่อยากคุยกับใครมากกว่า

หลังๆมานี้ ไม่รู้ว่าร้องไห้คิดถึงบ้านกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อาจจะเรียกได้ว่านับไม่ถ้วน
ร้องไห้ ไม่มีสาเหตุ อยู่ๆมันก็ตื้อๆ น้ำตามันก็เอ่อขึ้นมาเอง
เขียนโปรแกรมก็ร้องไห้
กินข้าวก็ร้องไห้
เช็ดห้องก็ร้องไห้
ซักผ้าก็ร้องไห้
ดูเจาะเวลาหาจิ๋นซี หรือแม้กระทั่งตอนนี้ก็ร้องไห้...

ใครจะว่า เป็นคนใจเสาะ อ่อนแอก็ช่าง
คนเรามีขีดจำกัดไม่เหมือนกัน และอ่อนแอในเรื่องที่ต่างกัน
ถ้าวันพรุ่งนี้ โปรแกรมเขียนเสร็จ เริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้
อะไรๆอาจจะดีกว่านี้ นี่ก็พยายามเชิดหน้ารอวันพรุ่งนี้อยู่ ว่าเมื่อไรมันจะมาถึงซักที

แม่จ๋า...

วันนี้แม่โทรมา ถามว่าซีเป็นอย่างไรบ้าง
แล้วแม่ก็พูดมาคำนึงว่า ซีอยากให้แม่ช่วยอะไรบ้างไหม
แม่ไม่อยากให้ซีเป็นทุกข์...

อยากบอกแม่ใจจะขาดว่า ขอหนูกลับไปอยู่กับแม่ได้ไหม
ขอไม่เรียนแล้วได้ไหม
แต่มันก็พูดไม่ออก
เพราะรู้ดีว่าแม่ต้องให้รีบกลับทันที แต่แม่ก็คงจะเสียดาย...

ทุกคนก็คงจะเสียดายแทนเรา วันนึงถ้าเราย้อนกลับมามองตัวเราในวันนี้
ก็อาจจะเสียดายเหมือนกัน

เกิดมาเป็นคนแล้ว ก็คงหนีความทุกข์ไปไม่พ้น
แต่สักวันความทุกข์อันปัจจุบัน ก็จะผ่านไป กลายเป็นความทุกข์ในอดีต
เพื่อรอความทุกข์อันใหม่ เข้ามาแทนที่... อยู่ร่ำไป

ก็คงทำอะไรไม่ได้สินะ ซีเอ๊ย...

Saturday, November 17, 2007

MINHS ASIA MARKT -- 17-11-2007

มาม่าหมูสับ หนึ่งลัง แปดยูโร (๘)
ซีอิ๊วขาวขวดใหญ่ สองจุดสองศูนย์ยูโร (๒.๒๐)
ซีอิ๊วหวานขวดเล็ก เก้าสิบเก้าเซนต์ (๐.๙๙)
ซอสผัดไทย หนึ่งจุดสองห้ายูโร (๑.๒๕)
ซอสทั้งหลายทั้งปวงของโลโบ้สามซอง หนึ่งจุดเก้าห้ายูโร (๑.๙๕) (ซองละ หกสิบห้าเซน ๐.๖๕)

เงินมันได้มาแล้วหมดไป ซื้อแค่นี้ก็ปาเข้าไปสิบห้ายูโร
อาทิตย์นี้จ่ายของไปสามรอบ ประมาณหกสิบยูโร
นี่ยังไม่นับอาหารการกินตอนกลางวัน และตอนอื่นๆ...

ไว้มานั่งลองคิดว่าวันๆใช้อะไรไปบ้างดีกว่า
อย่างวันนี้จ่ายค่ารถเมล์ไป หนึ่งจุดห้ายูโร เพราะลืมตั๋วเหลือง (ราคา หนึ่งจุดสองยูโร)
กินเบอร์เกอร์คิง หกยูโรกว่าๆ (จำไม่ได้แล้ว)

เออ น่าสนุกว่ะ จะได้จำราคาของได้ด้วย...

Friday, November 16, 2007

An Optimal Algorithm for Scanning All SPT of Undirected Graphs

a b c d e f g
h i j k l m n o p
q r s t u and v
w y x z

เริ่มบ้าไปแล้วครับพี่น้อง
คือเราต้องเขียนโปรแกรม ที่เอาไว้หา ทุกๆสแปนนิ่งทรี ที่เป็นไปได้จากกราฟ จี
ทำตามซุโดโค้ดของเปเปอร์หนึ่ง

ยากฉิบหาย....
ฟังดูเหมือนง่าย แต่เปเปอร์มันคือแมทล้วนๆ
แถมไอ้เราก็แม่นโค้ดดิ้งซะเหลื้อเกิน

กลุ้ม พรุ่งนี้จะเสร็จไม๊วะ จะได้เขียนเปเปอร์ซะที

ปล. การมาเรียนพีเอชดี ทำให้คนๆนึงซึ่งเคยมีไฟ ทะเยอทะยาน กลายเป็นน้ำนิ่ง เน่าสนิท (ไปแล้ว)

Saturday, November 10, 2007

วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

คนลักเซมเบิร์กดั้งเดิมส่วนใหญ่ เป็นพวกรวยเก่า คือรวยพื้นที่ ร่ำรวยเงินทอง อยู่กันอย่างสุขสบาย
ถึงแม้จะบอกว่าประเทศนี้เคยมีอุตสาหกรรมเหล็กในช่วงปีหกศูนย์ ถึงเจ็ดศูนย์ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง
(ในปีหกศูนย์ นายหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯก็เคยทรงเยือนยังแหล่งผลิดเหล็กที่ประเทศแห่งนี้มาแล้ว)
แต่กิจกรรมทางการค้าส่วนใหญ่ กลับเป็นเรื่องของเกษตรกรรม คนลักเซมเบิร์กส่วนใหญ่ เป็นชาวไร่ชาวนา
แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คงจะไม่ได้ เพราะที่นี่เค้าเป็นเกษตรกร ก็เป็นอย่างไฮโซกัน คือใช้อุปกรณ์ดี มีชีวิตดี กินอาหารดีๆ มีบ้านดีๆอยู่
คำว่ามาตรฐานชีวิตที่เคยได้ยิน เคยร่ำเคยเรียนมาตั้งแต่ยังเด็กนั้น ก็ได้มาเห็นจริง รู้สึกกันจังๆก็ตอนนี้นี่เอง

(ไม่รู้สิ ไฮโซบ้านเราคือพวกที่ออกงานสังคมบ่อยๆ บ้างก็ไปเพื่ออวดร่ำอวดรวย บ้างก็ไปเพื่อถีบตัวเองจากคนชั้นกลางไปเป็นไฮโซ บ้างก็ไปเพราะไม่มีไรทำ บ้างก็ไปเพราะอยากมีรูปอยู่ในหน้าสังคม สรุปไฮโซบ้านเรามีมากในปริมาณ แต่ด้อยคุณภาพ)

ไฮโซที่นี โอเค เค้าก็แข่งกันบ้าง แต่ความต่างมันไม่เยอะ... (อาจจะเพราะเคยเจอแต่แบบนี้)

คนที่นี่ถึงรวยเค้าก็ขยััน ไม่ใช่ว่าไม่มีการขี้เกียจเลย แต่ถึงเวลาทำเค้าก็ทำ ทำอย่างจริงจัง เค้าจะบอกตัวเองว่าอันนี้ต้องทำ ก็ทำ พอถึงเวลาทำได้จนพอใจแล้ว เค้าก็พัก
ความพอใจในงานที่ทำไปแล้วนี่ก็เรื่องนึง คือถ้าลองเค้าได้ทำแล้ว เค้าก็อยากทำให้เสร็จ แต่ถ้ามองแล้วมันไม่เสร็จง่ายๆ เค้าก็จะพยายามทำให้ถึงจุดๆนึงที่เหลือไม่เยอะ และไม่ใช้งานตัวเองมากเกินไป

แค่พูดมันก็ง่าย เพราะซีเองก็มีปัญหากับการตัดสินใจในแบบที่ว่าพอสมควร บางครั้งความขี้เกียจมันก็บอกเราว่า "พอเหอะ" "ไว้ทำต่อทีหลัง" โดยที่เราอาจจะไม่ได้ตัดสินจากเนื้องานก็ได้

คนที่นี่ถึงรวยเค้าก็ประหยัด...
เห็นแล้วนึกถึงพ่อจริงๆ พ่อเป็นแบบนั้นเลย คือเค้าจะประหยัดใช้ในสิ่งจำเป็น เรื่องกิน จะกินดีๆ อาจจะแพงบ้าง ไม่แพงบ้าง แต่ขอให้เป็นของดี ขอให้อิ่ม อย่าอด แต่ก็อย่ามากไป
เรื่องอื่นๆ ถ้าไม่จำเป็น หรือคิดแล้วมันไม่คุ้มกับราคาที่เสียไป ก็ไม่ซื้อมา

เห็นคนลักเซมเบิร์กหลายคน ไม่สนใจใบปลิวโฆษณาสินค้าจากพวกซุปเปอร์มาเก็ต
เหตุเพราะโฆษณาที่ว่าถูก ที่ว่าลดราคาเหล่านั้น บางครั้งก็ทำให้เราอยากได้ของในสิ่งที่ไม่จำเป็น
เพียงเพราะเห็นว่ามันถูก เราก็เลยอยากได้ อยากซื้อ ทั้งที่เรายังมีของใช้ ของกินเหล่านั้นอยู่
เค้าเลือกที่จะซื้อเมื่อจำเป็น ดีกว่าซื้อเพราะมันถูก แล้วก็เอาของมาเก็บไว้ให้มันเก่า หรือทำให้มีของกินมากเกินความจำเป็น แล้วก็ต้องมานั่งพยายามกินให้หมด เพราะซื้อมาแล้ว...

นั่นคือมุมมองที่เห็นจนถึงปัจจุบัน

แต่ในสังคมของประเทศนี้ไม่ได้มีแค่คนลักเซมเบิร์กดั้งเดิมอย่างเดียว
ประเทศนี้เต็มไปด้วยผู้คนจากหลากหลายชาติ ภาษา และวัฒนธรรม แบ่งได้เป็น หกส่วนหลักๆ
หนึ่งคือ คนฝรั่งเศส สองคือคนเยอรมัน สามคือคนจากอาฟริกา สี่คือคนจีน ห้าคือคนโปรตุเกส และหกคือคนจากทุกชาติทุกภาษาปะปนกัน (ที่เคยเจอ คนอังกฤษ อเมริกา คนจากโซเวียตเก่า (โปแลนด์ เช็ค สโลวัค เซป โอย เยอะมาก) อิตาลี โรมาเนีย ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ (ปล.ยังไม่เคยเจอลาว))

เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ คนที่เป็นเชื้อชาติอื่น แต่มีสัญชาติเป็นลักเซมเบิร์กจึงเต็มประเทศ
และสิ่งนี้เริ่มเป็นปัญหาในการแบ่งความเป็นไฮโซ และโลโซ

คนโปรตุเกส
คนลักเซมเบิร์กจำนวนมากมีเชื่อชาติเป็นโปรตุเกส คนเหล่านี้เข้ามาตั้งรกรากจากความเป็นจริงที่ว่า ในโปรตุเกสไม่มีงานให้ทำ ประเทศค่อนข้างจน (แต่ก็อาจจะรวยกว่าเรา อันนี้ต้องเช็คอีกที) การเข้ามาของโปรตุเกส ทำให้คนลักเซมเบิร์กดั้งเดิมมองพวกเค้าอย่างชนชั้นล่าง ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบปี คนโปรตุเกสเหล่านั้นก็มีเงินทอง ร่ำรวยไม่ต่างจากคนลักเซมเบิร์กแท้ๆเท่าใดนัก แต่ก็ยังคงถึงเหยียดหยามจากคนลักเซมเบิร์กบางกลุ่มอยู่นั่นเอง

ธรรมชาติของคนโปรตุเกส คือความขี้เกียจ งก และหยิบโหย่ง
ธรรมชาติของคนฝรั่งเศส คือ cheating with everything โดยเฉพาะเรื่องเซ็กส์
ธรรมชาติของคนเยอรมัน คือ ชอบเห็นตัวเองยิ่งใหญ่ และชอบกินข้าวกลางวันเร็ว (ก่อนเที่ยง ฮ่าๆๆๆ)
ธรรมชาติของคนอาฟริกา คือ ชอบถกปัญหาต่างๆในลักษณะที่เหมือนทะเลาะกันรุนแรง (หนวกหู)

แต่สิ่งนึงที่เห็นเหมือนกันของคนที่นี่ก็คือ โลกนี้มันไม่มี moral ไม่มีถูก ไม่มีผิดอีกต่อไป มันมีแต่ "คุณจะรับ หรือจะปฎิเสธ" เพราะความถูกหรือความผิด มันไม่มีอยู่จริง "ชอบ หรือไม่ชอบ" ต่างหากที่ผู้คนรู้สึก ที่ผู้คนจับต้องได้

คำว่า "คอมมอนเซนต์" ที่ซีเคยใช้จนถึงเมื่อไม่นานนี้ จึงไม่มีอยู่จริง ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้

...และเหล่านี้คือสิ่งที่พบในเก้าเดือนที่ผ่านมา

Wednesday, November 7, 2007

ไกล

โลกนี้มีสิ่งต่างๆมากมายให้เรียนรู้
การได้มาเรียน มาใช้ชีวิตที่นี่ เพียงแค่ไม่ถึงปี
แต่ก็ทำให้ได้เห็นสิ่งต่างๆมากมาย
ทำให้เห็นว่า เราเป็นคนที่ตัวเล็กจริงๆ
สังคม ความรู้สึก ความคิด ของคนแต่ละคน
ผ่านการปลูกฝัง ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม
ดูจะแตกต่างกันแบบไม่มีรูปแบบ
ไม่ได้จำเพาะว่า เราอยู่ในเอเชียแล้วเราจะล้าหลังเสมอไป
ไม่ใช่ว่าเราโลกแคบ หรือกว้างไกล
ต่างโลก ต่างทวีป ต่างพื้นที่ ก็มีมุมมองของตัวเอง
การได้มาเห็นแบบนี้ ทำให้คิดเสียดาย รู้สึกเสียใจ ในความคิดบางอย่าง
และรู้สึกดีใจ ในบางสิ่งบางอย่างเช่นกัน

สิ่งมากมายที่ต้องเรียนรู้ และปรับตัวที่นี่
เริ่มตั้งแต่การ์ตูน หนัง ละคร อาร์ต เพลง
อาหาร การแต่งตัว การเดินทาง การเข้าสังคม ไปจนถึงวิธีคิด
เราช่างไม่ใช่คนของที่นี่จริงๆ...

Monday, November 5, 2007

คำสารภาพ-found

จะบ้าตาย... เหตุเกิดสดๆร้อนๆ
ทำไมต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตูด้วยเนี่ย
เรื่องมีอยู่ว่า ดร.คนนึง เป็นเพื่อนในทีม เป็นคนฝรั่งเศส แต่งงานแล้ว มีลูกชายหนึ่งคน
มาสารภาพว่าชอบเรา...
จ้ากกกกก
ว้ากกกกก
โว้ยยยยยย

ไอ้ตอนแรกก็นึกว่าพูดเล่น เห็นพูดมาหลายทีละ นึกว่าเจ้าชู้ตามสไตล์คนฝรั่งเศส
ไม่ใช่เว้ย พี่แกจริงจัง
พี่แกบอกว่า ที่อยากบอกเราเพราะกลัวเราเข้าใจผิดว่าคนฝรั่งเศสเป็นแบบนี้
จริงๆคืออยากเตือนเราด้วย เพราะคิดว่าเราก็อาจจะเคยสังเกตุเห็นว่าแกชอบเรา
ไอ้เราก็งงเด่ะ (จริงๆมันก็เคยทำท่าแปลกๆเหมือนกัน)
พี่แกก็บอกต่อว่า แต่นี่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเราจะทำให้ครอบครัวแกแตกแยก
เพราะแกก็ยังรักภรรยา รักลูกเหมือนเดิม แค่มาเจอว่าชอบเราด้วย
แกใช้คำว่า แอท-แทรก-ทีฟ
เราก็ยังคงไฉเฉต่อไปว่า เฮ้ย เรื่องปกติ เพื่อนๆเราส่วนใหญ่ก็คือคนที่เราชอบทั้งนั้น
แกก็สวนกลับมาว่า แบบว่าอยากจูบด้วยป่าว
...จ๋อยสนิทคร่ะ

สรุปว่า แกก็ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึก เลยบอกให้เราระวังตัวไว้ และให้เข้าใจแกด้วย... ประมาณนั้น
เฮ้อ... ไม่ไปเล่นการ์ดเกมส์กับแกแว้ววววว น่ากัว


ปล. เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเรื่อง !(found)

Saturday, November 3, 2007

ตัวเอง

การได้มีโอกาสมาอยู่คนเดียว ออกห่างจากครอบครัว และเพื่อนฝูงที่สนิทกัน ทำให้เราเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น ว่า...

ทำไมกรูเป็นคนจู้จี้จุกจิกอย่างนี้ว้าาาาาา

อย่างนั้นเลยน่ะ
เรื่องห้องน้ำ...
"ทำไมเพื่อนมันไม่รู้จักเช็ดคราบไขมันจากตูดจากขามัน ที่เลอะอยู่บนฝาส้วมหน่อยว้า...นี่มันไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วนี่...กรูเช็ดสามรอบถึงจะสะอาดนะโว้ย"

"ทำไมถึงมีทิชชู่กรูกะอองเดรย์แค่สองคนว้า... คนใช้ห้องน้ำอีกสองคนมันคิดจะใช้ทิชชู่เราสองคนไปถึงไหน"
ว่าแล้วก็แอบเก็บทิชชู่ตัวเอง

และแล้วห้องน้ำก็โคตรสกปรก กล่าวคือ มีคราบน้ำ เหมือนฉี่กระเด็นบนฝาส้วมประจำ
ว่าแล้วก็เอาทิชชู่ตัวเองออกมาวาง
เอ้อออ ห้องน้ำสะอาดขึ้นนะ... กรูล่ะกลุ้ม

"ทำไมมันไม่เก็บขน+ผมที่อยู่ในอ่างอาบน้ำให้หมดว้า เราก็เก็บทุกครั้งน้า ไอ้พวกฝรั่งยังไม่เท่าไร ไม่ค่อยเห็น ไอ้พวกหัวดำเหมือนกันเนี่ย เด๋วเค้าก็มามองว่าชั้นสกปรกอ่า..."

เรื่องห้องซักผ้า
"ทำไมแฟบตูมันหมดเร็วจังวะ ไม่ได้ซักผ้ามาสามอาทิตย์ ทำไมแฟบ กะน้ำยาปรับผ้านุ่มมันลดฮวบอย่างนี้"
ว่าแล้วก็ต้องเก็บขึ้นมาไว้บนห้อง

เรื่องห้องครัว
"ทำไมคนจีนมันต้องมาแย่งใช้ตะเกียบเราด้วยวะ ตะเกียบมันก็มี ทำไมมันไม่ใช้ เวลาเราจะใช้ ตะเกียบก็อยู่กับมันตลอดเวลา"
ว่าแล้วก็ต้องเก็บเข้ามาไว้ในห้อง

ช้อนส้อม จานชาม ก็วางไว้ให้ใช้ด้วยกันได้ในห้องครัวนั่นแหละ แต่มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขรั่บพี่น้อง
หายยยยยยยย ไปปปปปปปป ไหนนนนนนนนนนนนน หมดดดดดดดดดดด เลยยยยยยยยยยย วะ
คือเพื่อนมันเอาไปใช้ บางคนก็มาจากชั้นเดียวกัน
บางคนก็มาจากชั้นบน บนนั้น บนโน้นนนนนนน
แล้วพอมันเอาไปใช้นานๆๆ มันก็เลยนึกว่าเป็นของมัน จะไปไล่ตามหาตามห้องก็ไม่ได้สะด้วย น่าเกลียด
เฮ้อ จะเก็บทุกอย่างไว้ในห้องก็ไม่ไหว ต้องหยิบเข้าหยิบออก
"ทำไมมันใช้แล้วไม่รู้จักล้างเอามาคืนว้าาาาาา"

สรุป. นี่ตูจุกจิกป่าวเนี่ย...

Friday, November 2, 2007

Ph.D. Student ไม่ใช่พระเจ้า และไม่ใกล้เคียง

ตามชื่อบล็อคขรั่บ...
จบข่าว



เหอๆๆ ล้อเล่น...
ก็ตั้งใจจะมาบ่น เอ้ย มาเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกการเรียน...
อันที่จริง การที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ph.d student นั้นไม่ได้โก้เก๋อะไร ดังที่เคยได้ปรากฎไว้ในบล็อคก่อนหน้า (นานแล้ว) ว่า
Ph.d = slave and pain
ไม่มีข้อความไหนเกินจริงเลย ในกรณีของพ้ม
...ใช่แล้วในกรณีของผม ไม่ใช่ของนาย ก. นาย ข.
การทำงานวิจัย ความยากง่าย ก็ขึ้นอยู่กับขอบเขต วัตถุประสงค์ของงานส่วนหนึ่ง
ขึ้นกับพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในศาสตร์ที่วิจัย ก็อีกส่วนหนึ่ง
เมื่อการทำงานวิจัยนั้นมาอยู่ในรูปของการศึกษาปริญญาเอก ความยาก หรือง่าย
ยังขึ้นอยู่กับ กรอบเวลา อาจารย์ที่ปรึกษา และ คณะลูกขุนผู้ตัดสินความชอบขั่วดีของตัวงานวิจัยที่ผู้ศึกษาได้ทำมาอีกด้วย
ดังนั้นการทำปริญญาเอก บางคนก็ว่าง่าย บางคนก็ว่ายาก เพราะการทำป.เอกนั้น ไม่สามารถชี้วัดเป็นหน่วยจำเพาะได้
นอกจากนั้น ตนก็ไม่ได้เป้นผู้ชี้ชะตาแห่งชีวิตตนแต่ผู้เดียว
แต่เกิดจากปัจจัยรายล้อมที่บางครั้งก็สุดจะบังคับไหว

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ตนก็เป็นส่วนประกอบสำคัญยิ่งยวดในกระบวนการนี้

แต่ก็นั้นแหละ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ นักเรียนป.เอก ก็ยังคงเป็น "นักเรียน" และยังคงเป็น "มนุษย์" ธรรมดาอยู่นั่นเอง
ซึ่งอาจจะอุปาทาน เอ้ย สมาทาน...เอ้ย หนุมาน...เอ้ย (พอได้แล้ว (ย้ากกก))
อนุมานได้ว่า ด็อกเตอร์นั้น ก็ไม่ได้วิเศษไปกว่าเด็กปวช. แต่อย่างใด
มุนษย์ก็คือมนุษย์ มีดี มีชั่ว มีอด มีกิน มีน้ำอดน้ำทน มีความรอบคอบ แตกต่างกันไป
แต่เมื่อมนุษย์ถูกขัดเกลาด้วยกระบวนการที่ต่างกัน จึงทำให้มนุษย์มีความ"ต่าง" แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า "วิเศษ"
และความต่างนั้น ก็ใช่ว่าจะดี เสมอไป (เช่นนี้แล)

Tuesday, October 16, 2007

บนถนนที่คนก้าวเดิน...

ต้องเคยผ่านร้อนและหนาว และพบเรื่องราวบางอย่างที่ฝังใจ
ทุกครั้งที่เธอหมดหวัง หมดสิ้นกำลังจะก้าวเดินไป
เธอจงมองดูภาพผู้คน ที่อยู่เดียวดายด้วยความอ้างว้าง
เพียงเธอมองไปนอกหน้าต่าง จะเจอความจริงมากมาย
คงจะทำให้พบคำตอบ ว่าบนทางเดิน ที่แสนยาวไกล
ทุกชีวิต ต้องเดินต่อไปเพื่อสู้ความจริง

และ...ใน...วันนี้ เธอนั้นจงหยัดยืน และลุกขึ้นอีกครั้ง
ด้วยพลังในหัวใจ
อย่าไปยอมแพ้ ให้กับปัญหาใดๆ
จงพร้อมจะอดทน ก้าวไปสู่หนทางของวันใหม่ด้วยตัวเอง

ให้เธอได้รู้นี่แหละใจของคน ที่แท้นั่นยิ่งใหญ่
ตราบใดความฝันยังไม่จางหายไป
เมื่อนั้น ใจจะไม่แพ้
...

แต่ถ้าเกิดเราไม่มีความหวังหลงเหลืออยู่...
นี่เราไม่มีแก่ใจจะทำต่อเลยเรอะเนี่ย...

Thursday, October 11, 2007

article in french!

I'm dizzy with french's articles for a long time. Now it's time to clarify them!!! (Maybe I'm too confident ha ha ha)

Ok, let's start with 'the'

the = le, la, les
*le is for masculin
*la is for feminin
*les is for pluriel

Ex. la famille de apivadee.
Ex. Qu'est-ce que c'est? -- c'est le taxi de hotel

a/an = un/une
*un/une are non-specific articles

Ex. Qu'est-ce que c'est? -- un chien --une femme

some = du, de, des
*de -- de la salade
*du = de + le --du (de le) chocolat
*des = de + les -- des (de les) legumes

Wednesday, October 10, 2007

Reprimand (Verb)

เรียกได้ว่าเพิ่งเคยเห็นศัพท์คำนี้เป็นครั้งแรก
อยู่ๆอาจารย์ก็ถามว่า มันสะกดยังไง ถึงกับอึ้งกิมกี่
ถามอาจารย์กลับไปว่า นั่นภาษาอังกฤษหรือเปล่าคะ...

reprimand /"rep.rI.mA:nd/ /-r@.m{nd/ verb [T] FORMAL
to express to someone your strong official disapproval of them:
She was reprimanded by her teacher for biting another girl.

เรื่องของเรื่องอาจารย์ว่ามันเป็นศัพท์ที่เป็นทางการ มีให้พบเจอได้บ่อยๆ
เฮ้อ ตูนี่ ภาษาอังกฤษอ่อนเหล่าจริงๆ... กลุ้ม

Friday, October 5, 2007

วันที่ ๕ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

อ๊า...ฤกษ์งามยามดี เขียนเมล์หาเพื่อนๆซะหน่อยดีกว่า

เนื่องจากทางนี้เพิ่งเปิดเทอมมาได้สามอาทิตย์
ชีวิตอันแสนวุ่นวายของข้าพเจ้าที่ไม่มีการปิดเทอมอยู่แล้ว ก็เลยวุ่นวายหนักขึ้นไปอีก
เพราะว่าเกิดความอยากที่จะไฝ่หาความรู้เพิ่มเติม ก็เลยไปนั่ง sit in สองวิชาสำหรับเด็กป.โท
นอกจากนั้นก็ยังเรียนภาษาฝรั่งเศสตอนเช้าทุกวันอีกด้วย...

ไม่น่าฟิตเลยตู...

วันนี้ทั้งวันเลยนอนซมอยู่บ้านเพราะเป็นหวัดอย่างแรง แบบที่ตั้งแต่มานี่ก็เพิ่งครั้งนี้แหละที่ดูแย่สุด
(ตั้งแต่มานี่เคยเป็นหวัดแค่สองครั้งรวมครั้งนี้ด้วย นอกนั้นก็แค่ปวดหัว เพลียไปตามเรื่องตามราว)
ไม่ใช่แค่ไปนั่งเรียนสองวิชา กับภาษาฝรั่งเศสหรอกที่ทำให้เป็นแบบนี้ แต่มันเป็นเพราะอากาศด้วย
ตอนนี้ยุโรปกำลังเข้าฤดูใบไม้ร่วงหรือที่เรียกว่า autumn ให้ตายเด่ะ กว่าจะจำได้ว่าอันไหนมัน spring อันไหนมัน autumn
(เผอิญไม่ค่อยได้สนใจเท่าไร ก็อยู่เมืองไทย อยู่แต่กรุงเทพฯ มันมีที่ไหนล่ะ)
ทีนี้ไอ้คำว่า ออทัม เนี่ย (ไม่เกี่ยวไรกะไอ้ออก้านะ) มันก็ฟังดูดีใช่ม่ะ พวกเราก็คงจะนึกถึง ใบไม้เปลี่ยนสี
เป็นส้ม แดง เหลือง ฮู้ สวยออกกกกไอ้ซี.....

แต่สิ่งที่มันตามมากับความเป็นออทัม ก็คือความจริงที่ว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ฤดูหนาว
ฝนเอยฝนตก คางคกได้ใจ (เออจริงด้วย!!! ยังไม่เคยเห็นคางคกที่นี่เลยว่ะ) ฝนตกหนักๆก็ยังรู้ตัวว่าต้องใส่แจ็คเก็ตกันฝน
หรือถือร่ม ก็ว่าไปตามความแรง
แต่ที่ซีคิดว่าเป็นสาเหตุของการเกิดหวัดครั้งนี้ก็คือ หมอก
หมอกไอน้ำหนาสามารถพบเห็นได้ทุกเวลา ยกเว้นกลางคืน ที่บางทีเราก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นหมอกหรืออะไร ถ้าเราไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วแบบรถ ตัวดิฉันไม่มีไฟตัดหมอก ไฟสูงนะฮ้า จะได้รู้ว่าตอนนี้หมอกลง
แล้วช่วงนี้ก็ดันทำงานดึกๆดื่นๆ กลับบ้านตอนสามทุ่มบ่อยๆ เดินออกมา หามีผู้คนไม่ ก็เดินดุ่มๆๆๆไป
ลัดเลาะไปตามสวนและหมู่บ้าน กับบันไดสองร้อยเก้าขั้นอันคุ้นเคย ลงไปถึงข้างล่างได้โดยไม่เหยียบน้องทากได้ ข้าพเจ้าก็แสนจะภูมิใจ
(แต่ทำให้เดินช้าไปอีกสองจุดสามเท่าเลยทีเดียว... เนื่องจากน้องทากชอบอากาศชื้น ถึงเปียก ก็เลยออกมาเดินกันให้ยั่วเยี้ยในช่วงนี้
ไม่อยากเหยียบมันเล้ยพับผ่า เลยต้องถือไฟฉายติดตัว เอาไว้ส่องทาง ถ้ามีคนสวนมา มันก็คงจะงงๆๆ ไฟทางก็มี...
มี...แต่มันไม่พอโว้ย น้องทากสีน้ำตาล ช่างกลมกลืนกับใบไม้ที่ร่วงหล่นจริงๆ)
เอาล่ะฝ่าด่านน้องทากมาได้ ก็ต้องเดินต่ออีกประมาณสิบถึงสิบห้านาทีเพื่อให้ถึงหอ

โง่จริง...ซี ทำไมไม่ขึ้นรถล่ะย่ะ
ฮ่า ดิฮั้นก็อยากจะขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่า ต้องรอรถหน้ามหาลัยที่จะมาทุกชั่วโมง (เพราะมันดึกแล้ว)
แล้วก็ต้องเข้าเมืองไปเพื่อที่จะต่อรถกลับไปที่หอ (คอยไปอีกสี่สิบห้านาที)
เดินกลับใช้เวลาอย่างมากยี่สิบ ถึงยี่สิบห้านาที ถ้าโอ้เอ้หนักๆ ในขณะที่การนั่งรถ จะใช้เวลาเร็วที่สุด ห้าสิบนาที...


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ใส่หมวกไหมพรมดูเท่ (แปลกๆ) แต่ทำให้ไม่เป็นหวัด

อ้อ ตอนนี้อาจารย์กิตมา supervise ข้าพเจ้าถึงที่นี่ แกอยู่ที่นี่เดือนครึ่ง แต่อาทิตย์หน้าแกก็จะกลับไปแล้ว
เฮ้อ... จะมีใครมาหาอีกบ้างไหมเนี่ย
(อย่ามาเลย แพง.......หูฉี่)

ปล. คาดว่าปีหน้าอาจจะได้กลับไปหลายรอบทีเดียว อิอิ แต่ซีต้องทำงานหนักกว่านี้ (เฮ้อ!!!)
ปลสอง. อยู่เมืองไทยร้อนกายแต่สบายที่ซู้ดดดดดด

Sunday, September 23, 2007

yummy Thai Food... (collecting links)

http://www.pantown.com/board.php?id=5495&area=4&name=board23&topic=99&action=view
http://karimarosa99.spaces.live.com/blog/cns!BA0F4A6CF92C8E56!110.entry?wa=wsignin1.0

Information in English with many pictures WOW...
http://www.enjoythaifood.com/

Information in Thai (this one give some tips on Vietnamese food also)
http://www.gourmetthai.com/Default.asp

food tips in Thai
http://www.bkkmenu.com/tips/index.html

อาชีพดอทคอม แต่มีหมวดอาหารด้วยนะเออ
http://www.archeep.com/food/food_index.htm

actually I love this link but now there is some problem which I do not know when it will work properly again
http://www.kruaklaibaan.com/forum/index.php

finally the cat can fly...

I've got the ping-pong player license already.
Though today is the first day of championship, I cannot play yet.
Why?... because I have no uniform yet and that's pity...
However, I found that all information about when, where and the score of each match will be updated on a website, which errrr... is written in French ....Kiahhhhhh....
Since I will study french on the coming tuesday, I would like to present the link of those information here. So you guys can catch up with the progress of me and my team... ei ei

program of championship
http://www.fltt.lu/up/S105_110.pdf

championship result link
http://www.fltt.lu/classement.php?CHA=Seniors

program of tournament
http://www.fltt.lu/up/S66_28.pdf

tournament calendar
http://www.fltt.lu/up/S66_27.pdf

PS. I'm in a team named Reuland 3 (District 9 in devision 6) ^^" at the lowest level (Devision 6) ... but this won't last long.
I will definitely climb up high quickly ha ha ha...

Tuesday, September 11, 2007

What Is Phd????

"Phd = slave = pain"

said by Gregoire Danoy, one of my Phd friend :)

วิธีขยันทำงาน


ซีให้พี่ไปแบกข้าวสารร้อยโลซะยังดีกว่า
(ให้มาหาวิธีให้ขยันทำงาน)

Wednesday, September 5, 2007

พิซซ่า--บางกรอบ+หนานุ่ม+เพิ่มขอบทอง+ไส้กรอกชีส

แหม่ เนื่องจากว่า ได้มากินพิซซ่าที่ยุโรป ความหลากหลายมันก็ตามตำรับของทางอิตาลีเขา
ก็เลยเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า เราจะทำบล็อคทัวร์พิซซ่าในยุโรปกัน...
เอ่อ แต่ถ้าตามไปกินทั่วยุโรป คาดว่าคนทาน (ตูนี่ล่ะ) อาจเสียชีวิตเพราะอ้วนเกินได้
เอาเป็นว่าถ้าจะไปทานอาหารอิตาลี จะรีบเตรียมกล้องไป พร้อมจดจำรสชาติมาอธิบายคุณๆได้รับชม รับชิมกันนะขร่าบ

ปล. บล็อควันนี้ถือเป็นการเปิดตัวแนวความคิด จะได้ไม่ลืมขร่าบ
ปลสอง. คือเรื่องของเรื่องวันนี้ไปกินร้านอิตาลี่อีกที่นึงที่ไม่เคยไป แต่สั่งพิซซ่าอันที่เคยกินครั้งแรกตอนที่มาอยู่ที่นี่วันแรก
แล้วก็อร่อยด้วย ก็เลยนึกถึง ทัวร์พิซซ่าขึ้นมาน่ะ

Monday, September 3, 2007

เดินริมถนน เรื่อยเปื่อย

เริ่มมีเรื่องที่ทำดราฟไว้หลายเรื่องล่ะตอนนี้ เนื่องจากว่า เริ่มพิมพ์ ก็เริ่มนาน เวลาก็ไม่ค่อยมี ต้องทำอย่างอื่นด้วย
เลยเขียนไม่จบเรื่องกันซักที ก็มีเรื่องใหม่มาให้อยากเขียนอีกล่ะ เพราะฉะนั้นวันและเวลาอาจจะไม่ตรงกับวันที่นำเสนอขร่าบบ

เอาล่ะเราจะพยายามจบเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ภายในดาบเดียว...เอ๊ะ ภายในครั้งเดียว

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกี่ยวกับตอนกลางคืน
ตอนกลางคืนที่ลักเซมเบิร์ก เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับที่อื่นๆในยุโรป จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน
เดินริมถนนในเมืองลักซ์ เวลาสองทุ่ม ไร้ผู้คน อากาศสบายไร้มลพิษ เดินชมวิวทิวทัศน์ได้อย่างสบายใจ แม้ในตรอกซอกซอย หลืบมุมเล็กๆ แสงไฟถูกจัดวางเป็นระยะๆ บ้างก็เพื่อให้เห็นความสวยงามของบ้านเรือน บ้างก็เพื่อนำทาง เมื่ออยู่ในที่ราบหุบเขา เราจะเห็นสิ่งก่อสร้างบนที่ราบสูงไกลออกไป ดวงจันทร์เหมือนจะอยู่เหนือปราสาทเท่านั้น แต่เมื่ออยู่บนที่สูงแล้วมองกลับลงมา แสงไฟที่คอยนำทางเมื่อครู่ทำให้เราเห็นเมืองชัดเจนยิ่งขึ้น ทางโค้งๆที่ไล่กันเป็นชั้นๆ สลับกับแม่น้ำสายเล็กๆและสะพานหินที่ใช้เชื่อมต่อสองฝั่งแม่น้ำ ทำให้เมืองน่ารักอย่างบอกไม่ถูก แสงอาทิตย์ที่กำลังจะล่วงลับขอบฟ้า กระทบยอดโบถส์และปราสาทหินเก่าที่ถูกสลับจัดวางบนเนินเขาที่ต่างกัน จนกระทั่งแสงอาทิตย์ลาลับ เรายังคงเห็นยอดโบถส์และปราสาทหินนั้นได้จากแสงไฟ ซึ่งบางครั้งทำให้เราคิดไปเองว่า สิ่งเหล่านี้มันกำลังลอยอยู่

เดินริมถนนในกรุงลอนดอน เวลาสองทุ่ม ผู้คนขวักไขว่(จะรีบไปไหนกันวะ) อากาศ... นี่มันอากาศเหรอวะเนี่ย ฝุ่นเต็มไปหมด กลิ่นน้ำมันเผาไหม้ไม่สมบูรณ์มีให้สูดดมได้ทั่วไป เดินชมวิวทิวทัศน์ได้ แต่รู้สึกว่าต้องระวังตัวจากคนแปลกๆ (ที่นี่คนแปลกๆเยอะซะด้วยสิ) หลายถนนทีเดียวที่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในความมืดมน ในขณะที่หลายถนนก็เต็มไปด้วยป้าย ระบายด้วยสีจัดจ้าน ประกอบกับแสงไฟหลากสี ทำให้เมืองคึกคักได้ไม่ยาก

เดินริมถนนในมิวนิค เวลาสองทุ่ม ผู้คนขวักไขว่ รถจักรยานขวักไขว่ ผู้คนครื้นเครง บ้างก็ช้อปปิ้ง บ้างก็ดื่มเบียร์ บ้างก็มากันเป็นครอบครัว ทานอาหารสนุกสนาน อากาศสบายกำลังดี เดินชมวิวทิวทัศน์ และผู้คนเป็นการเรียกน้ำย่อยให้อาหารค่ำมีรสชาติมากขึ้น ไม่ได้ระวังตัวอะไรมากมาย แต่ก็ต้องมีบ้างเหมือนกัน บนถนนที่มืดมิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกสบายๆกว่าลอนดอน

เดินริมถนนในเลอ-อาฟ เวลาสองทุ่ม กลิ่นน้ำมันดิบที่กำลังถูกกลั่น ลอยคลุ้งในอากาศ ผู้คนน้อยนิด ผ่านไปมา โหวกเหวก โวยวาย ส่วนใหญ่ไม่ได้เดิน ได้แค่นั่งรถไปมา

เดินริมถนนในออง-เฟลอ เวลาสองทุ่ม ผู้คนบางตานั่งทานอาหารใต้แสงเทียน กลิ่นไอทะเลลอยโชยมาแผ่วๆ อากาศเยียบเย็นริมน้ำถูกทำให้อุ่นขึ้นได้ด้วยดอกไม้หลากสี และรอยยิ้มจากผู้คน เรือยอร์ชมากมายจอดเรียงรายทำให้เมืองนี้เหมือนภาพวาดเข้าไปทุกที-ทุกที ภาพเด็กๆวิ่งเล่นริมหาด ภาพคนแก่ชวนกันจูงมือเดินชมวิว... โค้งน้อยๆที่เกิดจากการยิ้มที่มุมปากมีให้เห็นโดยทั่วไป

Thursday, August 30, 2007

Munich day 4 - St. Michel Kirche

โบถส์อันนี้ประมาณว่าสำคัญตรงที่เป็นที่เก็บพระศพของพวกราชวงศ์ไว้จำนวนมาก ส่วนว่าทำไมถึงต้องมาเก็บที่โบถส์นี้นั้น...
จำไม่ได้ล่ะ
อยู่ห่างจากมาเรียนพลาสไม่ไกลเรียกได้ว่าเดินได้ (สำหรับซี)ภายในก็อย่างที่เห็น อันที่จริง มันพังไปมากมายในช่วงสงครามโลก เสร็จแล้วเค้าก็บูรณมันขึ้นมาใหม่



สำหรับคนที่เป็นกังวลว่าพระศพของบรรดาคนในราชวงศ์จะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ต้องเป็นห่วงเลย
เพราะว่าโลงศพนั้น ภายนอกทำด้วยเหล็กทั้งหมด แถมเชื่อมปิดหมดเลย แข็งแรงจริงๆ
ภาพด้านล่างเป็นภาพของคิง ลุดวิค ด้านหน้าของรูป... เหอๆ โลงศพของแกน่ะสิ
ไม่กล้าถ่ายมาวุ้ยพวก โลงศพ คือตอนเด็กๆเคยดูหนังเรื่องไรนี่จำไม่ได้
จำได้แค่ว่าเป็นแนว โลงแบบเนี้ย เสร็จแล้วมีพวกทำพิธีไรไม่รู้ ไปๆมาๆ ศพก็พยายามออกมาจากโลง เต็มไปหมด เฮ้อ...
จริงๆแค่ทางเข้าก็นะ...

เราไปดูพวกเพดาน ศิลป ปฎิมากรรมไรอย่างอื่นกันบ้างดีกว่า
ด้านนอกเป็นภาพ... ชื่อไรวะไอ้คนเนี่ย นั่นแหละ กำลังจะแทงเดวิล
เท่ห์ชะมัด

ด้านนอกโบถส์แบบชัดๆอีกที

Wednesday, August 29, 2007

Munich day 4 - Schneider weisse

นึกว่าใกล้จะจบสำหรับมิวนิค เพราะนี่ก็ปาเข้าไปวันที่สามแล้ว
แต่พอนั่งดูรูป ทำไมมันเยอะงี้วะ
เอ้าเพื่อไม่ให้เสียเวลา มาต่อกันเลย
หลังจากออกจากสนามอัลลิอันซ์ เราก็ตรงกลับเข้าเมืองเพื่อหาไรกินกัน
ผ่านมาเรียนพลาสอีกแระ
เจอร้านดอกไม้ ฮึ่มสวยเจงๆ เรายืนชื่นชมกันสักพัก ก็จรลีไปต่อดีกว่า
ข้างบนเป็นโบถส์อะไรสักอย่าง ว่ากินเสร็จจะเข้าไปดู เสร็จแล้วก็ไม่ได้เข้าไป
ด้านข้างฝั่งตรงกันข้ามของโบถส์เป็นร้านนี้ (ตามภาพด้านล่าง) เห็นชื่อเบียร์ เฮ้ย ยังไม่ได้ลองนี่หว่า.... จะไปเหลือเหรอครับ
ก็เดินเข้าร้านกันตามระเบียบ
ท่าทางจะเป็นร้านเก่า เพราะเครื่องใช้ไม้สอยเป็นไม้แบบว่ามันเชีย บรรยากาศภายในร้านดูดี นั่งสบาย
แถมเบียร์ก็อร่อย คือเบียร์ส่วนใหญ่ที่ว่าอร่อยสำหรับเราคือ กลิ่นดี เป็นเบียร์ ไม่ใช่น้ำเปล่า ดื่มแล้วมันต้องมีรสหลงเหลือกันบ้าง
ถ้าลงคอแล้วรสหาย คล้ายๆดื่มน้ำเปล่า นั่นไม่ใช่เบียร์อร่อยสำหรับผมคร้าบบบบ
ปล. ในรูปด้านล่างเป็นดาร์คเบียร์
ปล2. เนื่องจากดาร์คเบียร์หากินยากหน่อยในไทย ทริปนี้เลยขอซัดแต่เบียร์ดำ
งงล่ะสิ ด้านล่างเป็นเหมือนน้ำจิ้ม แบบสูตรของร้าน อร่อยมั่กๆ คือแนวมัสตาร์ดทำเอง ปรุงรสด้วย... ก็บอกแล้วว่าสูตรของร้านจะรู้ไหมล่ะเนี่ย ว่ามันทำยังไง
และแล้วเราก็มาชมอาหารกันซักหน่อย อันนี้หน้าตาเหมือนหอยทอด แต่เป็นเนื้อตุ๋นทอดต่างหาก รสชาติก็จืดๆหน่อย ไม่จัดจ้านอย่างหอยทอด
เห็นแล้วมันก็คันมือ ไม่น่าจะทำยาก ว่าแล้วอาทิตย์ที่แล้วก็เลยลองทำกิน อร่อยใช้ได้เลย แต่ลืมถ่ายรูปไว้ หึๆ แบบว่ามันหิว...
จานล่างล่ะถูกใจคนกินยิ่งนัก เนื่องจากเป็นคนชอบกินไส้กรอก (มาก) (ถึงมากที่สุด) เฮ้อ อร่อย
ร้านนี้มีสองชั้น ชั้นบน ก็มีที่นั่งแบบสำหรับจอง มากันเป็นกลุ่ม บรรยากาศดีมากกกกกกกกก จริงๆมีหลายส่วนที่เป้นแบบนี้ แต่ว่าถ่ายมาอันเดียว
คือมันเมาน่ะ...
นับตั้งแต่ออกจากร้านนี้ไป รูปที่ถ่ายส่วนใหญ่ภาพไหวตลอด... ผมเมาคร้าบบบบบ เฮ้อ
ออกมาจากร้านแหงนมองพระอาทิตย์ อ้าวหายไปไหน....
อ้อ อยู่หลังยอดโบถส์
...จึ๋ย ไม่ได้หนักขนาดนั้นจ้า

Thursday, August 23, 2007

Munich day 4 - Allianz Arena

ตื่นเช้ามา สถานที่แรกตามแพลนก็คือ... แต่นแตนแต๊นนนนนน
สนามของชาวบาเยิร์นมิวนิคเขาแล

ก็นั่งรถไฟใต้ดินไปที่สถานี Frotmanning เดินกลางแดดเปรี้ยงๆสักเกือบสิบนาทีได้ โอ้ย ใหญ่ว่ะ ใต้ดินเป็นที่จอดรถทั้งหมดน้าฮ้า...






อูย ถ้าได้นั่งตรงนั้นตอนแข่งจริงๆ คงมันส์น่าดูน้า...






โบ๊มี่ โบ๊ปี่ -- Grandma Grandpa (ตอนแรก)

ริ้วรอยบนใบหน้าของโบ๊มี่ และโบ๊ปี่ ไม่ได้สื่อถึงแค่ความแก่ชรา
แต่กลับเป็นเหมือนรอยจารึกที่บ่งบอกกาลเวลา ความสุข ชีวิต ความปรารถนาที่ผ่านมาชั่วเวลานึง...
หลังจากเข้านั่งในร้านอาหารจีนที่ ลาโฮเช็ต (Larochette) เราก็เริ่มพูดคุยด้วยเรื่องต่างๆ
ตั้งแต่เมนูอาหาร ภาษา สิ่งของรอบตัว เรื่องเรียน ไวน์ กาแฟ พื้นที่โล่งด้านนอก ไปจนถึงเรื่องแมว

โบ๊มี่จะสั่งเป็ดมากิน ถามเราว่ากินไหม ที่นี่อร่อยนะ เราก็ว่า
ซี. "อ่ะ ไม่กินคะ" (ด้วยภาษาอังกิด)
โบ๊มี่. "อ้าวทำไมล่ะ ที่นี่อร่อยนะ"
ซี. "เอ่อ ซีชอบมันคะ น่ารักดี ให้อาหารมันด้วย"
โบ๊มี่. หัวเราะกร๊าก
โบ๊มี่. "แต่ก่อนนะ ที่บ้านเรามีวัวสี่ห้าตัว ไว้รีดนม ไว้กินเนื้อ มีหมู มีไก่ มีเป็ด... เรากินมันทั้งนั้นแหละ"
ซี. "คะ ซีรู้ แต่ไม่ชินคะ ปกติอยู่แต่ในเมือง ให้อาหารมันตามพาร์ค จะกิน ก็ซื้อที่ตายแล้วคะ"
โบ๊มี่. "มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราเลี้ยงมันก็เพื่อไว้กิน"

โบ๊มี่อายุมากกว่าเจ็ดสิบ แต่ทุกวันนี้แกกับโบ๊ปี่ ช่วยกันทำสวนเล็กๆหลังบ้าน
พื้นที่หลายไร่ ถูกแบ่งขายให้กับเพื่อนบ้านไปไม่น้อย รวมถึงให้เป็นที่สำหรับบ้านของลูกชายแกเอง
ด้วยเหตุว่าแกดูแลกันไม่ไหว
แต่ทุกวันนี้ โบ๊ปี่ก็ยังขับรถตัดหญ้า โบ๊มี่ก็ยังเข้าไปในแปลงผัก ปลูกสลัด ถั่ว มัน หอม ฟักทอง แตงกวา โอ้ยเยอะแยะ

โบ๊มี่. "ซีเข้าไปตัดผักในสวนได้เลยนะ ได้มากเท่าที่ซีต้องการเลย"
โบ๊ปี่. "เราไม่ได้ทำแปลงผักมากมายเพื่อเราแค่สองคน (หมายถึงแค่โบ๊ปี่ และโบ๊มี่) แต่เราทำเผื่อทั้งครอบครัว แต่ครอบครัวก็ไม่ค่อยมากันเท่าไร"

น้ำเสียงเศร้าๆไปหน่อยนึงของโบ๊ปี่ทำเอาเราใจหาย ปกติโบ๊ปี่เป็นคนตลก ออกไปทางกวนตีนก็ว่าได้ ชอบถามคำถามยียวน แกล้งๆๆ
อดีตโบ๊ปี่ทำงานในหน่วยงานราชการด้านกฎหมายภาษี อาจจะเป็นเหตุนี้ ทุกวันนี้โบ๊ปี่ยังคงแต่งตัวดี บางครั้งเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวสามรอบได้ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์

บ้านเกิดของโบ๊ปี่อยู่ทางใต้ ที่เมืองดิฟเฟอดองจ์ (Differdange) ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรม
ในอดีตอุตสาหกรรมเหล็กเจริญรุ่งเรืองยิ่งยวดในลักเซมเบิร์ก และแหล่งแร่ และโรงงานอุตฯที่สำคัญก็อยู่ที่ดิฟเฟอดองจ์

โบ๊มี่. "ครั้งแรกที่เค้ามาที่นี่ (ฮ้อยหลั่น (Reuland)) เค้าไม่อยากกลับไปเลย เค้ามากับเพื่อน ซึ่งเป็นเพื่อนของฉันอีกที"
โบ๊ปี่. "แต่ก็ยังมีญาติๆอยู่ที่นั่น ซีเคยไปหรือยัง"
ซี. "ไปมาสองครั้งแล้วคะ"
โบ๊มี่. "ทุกปีเราจะไปเยี่ยมญาติๆ ไปด้วยกันไหม"
ซี. "ไปคะๆๆๆๆๆ"

ออกจากร้านอาหารจีน เราตรงกลับบ้านโบ๊มี่ โบ๊ปี่
โบ๊มี่. "วันนี้น้องสาวของโบ๊ปี่จะมาหาเรา ยังไงอยู่ทักทายกันก่อนแล้วกันนะ"

แต่ก่อนบ้านของโบ๊มี่ทำด้วยหิน เอามาวางต่อๆกัน แล้วอัดช่องว่างด้วยทราย ตามวิศวกรรมสมัยก่อน (นานมาก)
เดี๋ยวนี้ถูกทำให้แข็งแรงขึ้นแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ หินยังอยู่เหมือนเดิม
หินทำให้เก็บความเย็น แต่ก็ต้านลม เพราะฉะนั้น เข้าบ้านโบ๊มี่ทีไร ก็จะรู้สึกเย้นนนนน เย็น เหมือนเปิดแอร์ไว้ทั้งวันทุกที

Monday, August 20, 2007

Munich day 2 - Part three

เอารูปมาให้ดูกันก่อน เด๋วมาบรรยายเพิ่มนะ

-__-" มาบรรยายเพิ่มนะ แต่จะเข้ามาอ่านกันไหมนี่ คอมเมนต์กันไปซะแระ

ด้านล่างเป็นโรงละคร กับรูปปั้นใครก็ไม่รู้ ว่าจะหาข้อมูลเพิ่ม แต่ยังไม่มีเวลา ต๊ะไว้ก่อนนะ
ส่วนอันนี้หลังจากเดินมา...แป๊ปเดียว หนึ่งในผู้ร่วมขบวนก็เกินอาหารโหยเบียร์ แบบว่าต้องหยุด
เอ้า หยุดก็หยุด กลับมาหยุดที่มาเรียนพลาสอีกแระ ภาพนี้เลยให้ดูบรรยากาศ

เบียร์มาแล้ว ลืมบอกว่าส่วนใหญ่ที่ซีดื่มเป็น ดาร์คเบียร์ทั้งหมด แต่ยี่ห้อนี่มัน ...ดาก... จริงๆ

เคยมีรุ่นพี่คนนึงอยู่ที่บรัสเซลบอกว่า "ฝรั่งนี่มันบ้าเห่อแดด บ้านน๊อก บ้านนอก พอมีแดดหน่อย โผล่ออกมากันใหญ่"
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ...
พระอาทิตย์เริ่มตกดิน แดดแบบนี้ก็ประมาณสองทุ่มได้... จริงๆ ไม่ได้โม้...
ปล. ไอ้ที่ห้อยอยู่นั่นไฟจ๊ะ
ร้านเบียร์ hofbrauhaus ที่เลื่องชื่อ (คำว่า brauhaus = beer house)
เหตุที่เลื่องชื่อคาดว่า ไม่ใช่แค่จากเบียร์ แต่เป็นบรรยากาศภายในร้าน
โอ้... มันช่างคึกคัก ดนตรี การแต่งตัวของสาวๆ แก้วเบียร์ ช่างเหมือนย้อนกลับไปอยู่ในอาณาจักรบาวาเรียนอีกครั้งหนึ่ง
ร้านนี้ใหญ่โตมาก ถ้าคิดเป็นตึกแถวก็น่าจะไม่ต่ำกว่าสิบคูหา คนแน่น หาโต๊ะนั่งไม่ได้
ภายในมีคนจากหลากหลายเชื้อชาติรวมกันอยู่ แต่อย่างนึงที่เหมือนกัน คือ ทุกคนมีแก้วเบียร์ขนาด ครึ่งลิตรอยู่ในมือ...
วันนั้นสรุปว่าไม่ได้นั่งดื่ม เพราะเมากันมาแล้ว ดื่มอีกคงไม่ไหว
"เอ้ย... นี่มันทริปดื่มเบียร์ชัดๆ" ซีพูดกับเพื่อนร่วมเดินทางอีกสองคนก่อนมาถึงที่นี่...

ด้านหน้าร้าน บริเวณที่ตั้งร้านก็เป็นชุมชนเก่า เราต้องเดินลัดเลาะจากถนนใหญ่เข้ามา บริเวณรอบๆก็มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย
ร้านนี้น่าจะดังมากจริงๆ เพราะขนาด ฮาร์ดร็อกต้องมาเปิดแข่งที่ฝั่งตรงข้ามเลยทีเดียว

พระอาทิตย์หายไปในหมู่ตึกแล้ว เหลือแสงสีสวยๆไว้ให้เห็นกัน
ที่นี่เค้ามีรถราง ไอ้สายระโยงระยางนั่นส่วนหนึ่งก็เพื่อจ่ายไฟให้รถราง ส่วนนึงก็เอาไว้ติดไฟให้ถนนไปด้วยในตัว

อ้า... อันนั้นน่าจะเป็น Frauenkirche วันนี้เรายังไม่ได้ไปกัน ต้องพรุ่งนี้แล้วล่ะ คำแปลของ ฟาวเอินเคียช ก็คือ โบถส์ของผู้หญิงของพวกเรา
ภาพนี้แสงสวยดี ตอนนี้ก็สามทุ่มล่ะ ต้องจรลีกลับ หาข้าวกินแล้วก็เข้านอน

Friday, August 17, 2007

Munich day 2 - Part two

ูู^^" คือว่างานยุ่งเลยมาอัพรูปไว้ก่อน มีคอมเมนต์ซะแระ ไวจริงๆน้า...

เอาล่ะมาบรรยายภาพกันดีกว่า
ที่เห็นด้านล่างนี้เป็นโบถส์ Theatinerkirche สไตล์บาโรคดังจะเป็นได้จากหอคอยหลังคาโค้งโดมนั่น กับลวดลายกลมๆม้วนๆด้านข้างภายในเป็นปฎิมากรรมปูนปั้นลอยสูง สวยอย่างที่เห็น

พอออกจากโบถส์ด้านข้างก็เป็นร้านขายเบนซ์ ดูราคาแล้ว เฮ้อ ถูกกว่าบ้านเราเห็นๆ น่าซื้อจัง... แหะๆ พูดไปงั้นแหละ ไม่มีตังค์อยู่ดี
โบถส์นี้อยู่ใกล้กับ Odeonplaz เป็นถนนใหญ่ เป็นจัตุรัสกว้างๆ มีแต่คนขับรถเปิดประทุนมา จนสงสัยว่า ถ้าไม่มีรถเปิดประทุน ขับมาจตุรัสนี้ไม่ได้นะเนี่ย... ฮ่าๆๆ
ฝั่งตรงข้ามร้านเบนซ์มีสตาร์บัคกับ Sotheby ร้านขายของประมูลที่โด่งดัง
เดินเลยสตาร์บัคขึ้นมาทางโบถส์มีประตูสวยๆเป็นทางเข้า พอเข้าไปก็เจอ Hofgarten แปลตรงตัวว่า "สวนดอกไม้"

สวนดอกไม้ตรงนี้ในอดีตเค้ามีไว้ให้พวกราชวงศ์เข้ามาได้เท่านั้น
ตึกนี้อยู่ในสวนดอกไม้ แต่เป็นตึกของรัฐบาล ทำไรซักอย่าง ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าปีกทั้งสองข้างเป็นกระจกหมดเลย สวยดี
อันนี้เป็นทัวร์จักรยาน ที่มิวนิคนี่ไม่น่าเชื่อว่าคนจะคลั่งจักรยานขนาดนี้ เรียกว่าถนนทุกสายมีเลนจักรยาน แล้วคนเดินถนนนี่ต้องระวังจักรยานชนเอานะ
ไม่ว่าจะเป็นที่ชุมชนที่ไหน เป็นได้เห็นจักรยานจอดเป็นแนวยาวๆๆๆๆ เต็มไปหมด ยิ่งตามสถานีรถไฟด้วย... โห เยอะจริงๆ
มองจากในสวนกลับไปที่ Theatikirche
ตอนยืนฟังคนมาร้องโอเปร่าเพื่อโฆษณาซีดีของเค้าเอง เห็นเงาตัวเอง อิอิ
ที่นี่ตลาดมันเปิดจริงๆ ร้องเพลง เล่นดนตรี ไม่ต้องพึ่งบ.ใหญ่ๆ เล่นกันตามถนนนี่ล่ะ แผ่นนึงก็ไม่แพงมาก 10-15 ยูโร

แล้วเดินออกจากสวนดอกไม้ก็มาสะดุดกับอาคารหลังนี้ที่เสียงเพลง Besame mucho เพลงโปรดต้องเดินเข้าไปดูซะหน่อยว่ามันงานไร
นี่ไงแหล่งเสียงเพลงที่ว่า โอ้เล่นกันสดๆ เห็นกันใกล้ๆ มีฟามสุขยิ่งนัก
ไม่ใช่เทศกาลเบียร์ แต่เป็นไวน์แหะ
ด้านนอกอาคารนี้มีเจ้าสิงโตวางอยู่ตามประตูเข้าออกเป็นระยะๆ เห็นคนเดินผ่านไปมาก็ลูบตรงที่เป็นสีทองเหลืองน่ะ เค้าลูบทุกอันด้วยนะ... เอาวะ ลูบมั่ง ลูบทำไมก็ไม่รู้ เหอๆ

ไว้ต่อตอนต่อไปเน้อ