Monday, December 24, 2007

กบในกะลา

จริงๆแล้วไม่อยากแทรกเรื่อง ปารีสกับโฮวองเลย... แต่ก็ต้องแทรกล่ะนะ เพราะเรื่องนี้ว่าจะเขียนทีไร พอทำโน่นนี่ก็ลืมทุกที

เรื่องมันมีอยู๋ว่า...

การที่ได้มาเจอโลกมากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย (จริงๆแล้วมากกกกก ครับ) ทำให้เห็นว่า ไม่ว่าเราจะเคยเป็น เคยมี เคยรู้ เคยทำ อะไรมามากมายแค่ไหน (ในความคิดของตัวเอง) แต่เฮ้ย..โลกข้างนอกนั่นยังมีอะไรอีกเยอะแยะนะเว้ย ที่แกยังไม่รู้

และจากการพูดคุยกับคนหลายๆๆคน ยิ่งทำให้รู้สึกได้ว่า เฮ้ย... มันไม่มีใครที่รู้ทั้งหมดนะเว้ย ไม่มีจริงๆ ไม่มีบันทัดฐานใดถูกต้อง เพราะมันไม่มีจริงๆ (เหมือนเคยบอกเรื่องนี้ไปครั้งนึงละ)

คือที่ทำให้รู้สึกอย่างนี้เพราะ..
หนึ่ง มีโอกาสรู้จักคนต่างชาติ ต่างชาติจริงๆนะ คือไม่ใช่แค่ฝรั่ง คุณอย่าไปเหมาไอ้พวกหน้าตาแปลกๆไม่เหมือนเอเชียเราว่าเป็นฝรั่งอย่างเดียว โลกนี้มีมากกว่าสองร้อยประเทศนะขรั่บ และขอยืนยันว่า แต่ละสังคมประเทศก็มีความแตกต่างกันในแง่ความคิด ทัศนคติ และการดำเนินชีวิต

สอง มีโอกาสได้รู้จักคนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ทั้งคนที่ฉลาดมีการศึกษา คนโง่ไม่มีการศึกษา และคนฉลาดไม่มีการศึกษา...

วันนี้สรุปอะไรบางอย่างได้ว่า...
คนเล่นไพ่ได้เท่ห์ๆ ไม่ได้แปลว่าเค้าเข้าบ่อนเล่นไพ่บ่อยๆนะครับ
คนที่ไม่แต่งตัว ไม่ได้แปลว่าเค้าไม่มีเงิน แต่เค้าไม่ชอบแต่งตัวครับ
คนไทยไม่ได้โง่ เรื่องมาก งี่เง่า อวดรวยทุกคนนะครับ
คนไทยที่อยู่เมืองนอก ไม่ได้ดี มีมารยาท รำ่รวย เป็นผู้ดี และ หรือ มีความสุขทุกคนนะครับ
คนฝรั่งไม่ได้เป็นคนดีเสมอไป และไม่ได้เลวเสมอไป เพียงแต่คนที่อยู่ในสิ่งแวดแล้อมที่เรียกว่า สากล เค้าจะเข้าใจการสื่อสารที่ดี ว่าทำอย่างไรให้ได้ผลดี ผลประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด (ง่ายๆก็คือมันกะล่อนครับ)
เซ็กส์กับฝรั่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเสมอไป ฝรั่งดีๆ ก็มีเยอะนะครับ แต่เค้าคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่รักนั้นมันทำให้ผูกพันลึกซึ้ง(และสนุก!ด้วย) เท่านั้นเอง (เฮ้อ ก็ยังทำใจยอมรับแบบเนียนๆยังไม่ได้ว่ะ) คือคนดีๆ เค้าก็ไม่ไปซี้ซั้วมีเซ็กส์กับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันหรอกครับ
...แต่อ๊ะๆๆ ซีไม่ได้บอกว่า เซ็กส์กับฝรั่งเป็นเรื่องยากนะครับ เพราะถ้าเค้าเกิดมีแพสชั่น (passion) ด้วยขึ้นมา (และหน้าด้านพอ... ซึ่งส่วนใหญ่มันหน้าด้านครับ หรือถ้าพูดให้สวย ก็ต้องบอกว่า คิดอะไรก็ทำอย่างนั้น ปากตรงกับใจ อะไรทำนองนั้น ) มันก็ขอกัน บอกกันดื้อๆเลยครับว่ามันอยากมีจุดๆๆๆด้วย เฮ้อ...

คนที่เคยอยู่ยุโรป หรือคนยุโรปเอง ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะเข้าใจวัฒนธรรม และ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ ยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าให้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในจีน หรือ เมืองไทย เช่นเดียวกับคนไทยที่บางครั้งเราก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางของประเทศตัวเองจริงๆ

คนที่มีประสบการณ์ในต่างแดนมามากมาย อาจจะให้ข้อคิด ความรู้ที่เป็นมุมมองใหม่ๆกับเรา แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดครับ เพราะความคิดเหล่านั้นสะท้อนผ่านอารมณ์ ความรู้ ความเข้าใจของตัวบุคคล ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด ...ไม่ได้บอกว่าเชื่อถือไม่ได้นะ แต่ถ้าได้ไปเจอด้วยตัวเองแล้ว ก็สรุปได้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เค้าว่าซะทีเดียว (บางทีก็สุดขั้ว คนละเรื่องกันไปเลย)

ถ้าคนเราไม่ตัดสินคนอื่น สิ่งอื่น ก่อนที่จะได้รู้จักคนๆนั้นจริงๆ สิ่งนั้นจริงๆ โลกนี้จะเป็นอะไรที่น่าอยู่มากเลย...

แต่น่าเสียดาย น้อยคนนักที่เราเคยพบเจอ จะเป็นเช่นนั้น แต่จะหาคนเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อตัวเราเอง บางครั้งยังตัดสินคนอื่นจาก ภายนอก บวกกับข้อมูลพื้นฐานเช่น น้ำหนัก ส่วนสูง .... เอ่อ ไม่ใช่ เอาใหม่ กับข้อมูลพื้นฐานเช่น ชาติ ศาสนา ผิวพรรณ ภาษาที่ใช้ ระดับการศึกษา...

สุดท้ายก็ได้แต่พร่ำเตือนตัวเองว่า ... เรานี่มันก็แค่ "กบในกะลา" อย่าตัดสินอะไรเร็ว มองโลกในแบบที่มันเป็นจะดีที่สุด...

ปล. วันนี้คริสต์มาสครับ ไม่ได้เกี่ยวไรกับศาสนานะ แต่ที่นี่เค้าฉลองกัน (ในครอบครัว) ซวยสิกู ครอบครัวอยู่เมืองไทย... ยังไงก็สุขสันต์วันคริสต์มาสคร้าบบบบ

Wednesday, December 19, 2007

Paris and Rouen(1)

วันนี้มาเยือนปารีสเป็นครั้งที่สอง หลังจากครั้งก่อนหลงเข้ามาแบบไม่ตั้งตัว และงงงวยออกไปแบบเอียนๆปารีส กลับมาใหม่ไฉไลกว่าเดิม ด้วยการนั่ง TGV ทีจีวีเป็นรถไฟด่วน วิ่งไฮสปีดที่สามร้อยกิโลกว่าๆต่อชม.เท่านั้น เราก็มาถืงปารีสสมใจนึกในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง

ลงจากรถไฟที่สถานี 'Paris est' มองไปมองมางงๆ เหมือนบ้านนอกเข้ากรุงยังไงอย่างงั้น เห็นคนยืนจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มๆนึกว่ามีการก่อหวอดอะไร เดินไปดูใกล้ๆ เป็นแท่งไฟแรงสูงไว้เป็นที่ทำความร้อน คนที่ไปยืนรอบๆก็จะอุ่นคะ ก็เลยยืนถ่ายรูปด้วยมือข้างซ้าย เพราะมือข้างขวาถือกระเป๋าเอกสาร โดนอาจารย์เดินมาเตือนว่า ระวังโดนคว้ากล้องไปจากมือ อันตรายมากที่นี่โดยเฉพาะในสถานที่พลุกพล่านแบบนี้... จ๋อยสนิท อยู่ลักซ์เซมเบิร์กจนเคยตัว

เดินหาทางออก และทางไปยังอีกสถานีรถไฟอีกแห่งนึง กว่าจะไปถึงสถานี เช็คเวลารถไฟต่อไปยังเมือง Rouen ก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมง... เฮ้อปารีส

บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน สภาพบ้านเมืองบอกได้เลยว่า เรารู้สึกว่า เจริญกรุงเป็นยังไง ปารีสก็เป็นอย่างนั้นแล เก่าๆๆ ซอกมุมเยอะแยะ บางแห่งดูน่ากลัวมากๆๆ บางแห่งดูไม่น่าดูเฉยๆ คนเต็มไปหมด แต่ไม่มีใครสนใจใคร ไม่มีใครรักษาความสะอาด รถราขวั่กไขว่ คนก็จะเดิน รถก็จะไป.. อื้ม ปารีส

เมื่อหาที่ทาง ตารางเวลาเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปหาที่กินข้าว ตอนแรกจะเข้าไปกินในร้าน... Hippotomus เข้าใจว่าประมาณนี้ ร้านนี้เป็นสเต็กเฮ้าส์ ประมาณนั้น ก็รู้มาว่าพอใช้ได้ แต่ที่เต็ม เลยต้องเดินไปอีกหน่อยหาไรง่ายๆกิน ก็เจอแมคโด

พระเจ้าคนเป็นร้อยล้าน ทำคิวแบบร้านอาหารเลยทีเดียว คือมีคนมารับออเดอร์ตามคิวก่อน ชั่นล่างทั้งชั้นที่ปกติจะเป็นเคาน์เตอร์และมีที่นั่งด้วย ที่นี่มีแต่คิวของคนล้วนๆ พอเราถืงเคาน์เตอร์ยื่นบิลที่ได้จากแคชเชียร์ที่วางอยู่ก่อนเคาน์เตอร์รับอาหาร ก็จะได้อาหารไม่ถึงนาที... หาที่นั่งสิทีนี้ ไม่มีที่นั่งครับพี่น้อง เต็ม ทั้งชั้นใต้ดินและชั้นบนน ต้องยืนรอกันเลยทีเดียว แถมที่นั่งก็นั่งกันแบบปลากระป๋อง... ปารีส ฮึ่มๆๆ

ระหว่างนั่งกิน คนจะเข้าจะออก ก็ต้องให้เราลุกหลบ นึกออกมะ เซ็ง... ออกจากแมคโดไปรอรถไฟ มีทหารถือ c3 from CS มายืนกันสามคน นี่มันจะทำให้รู้สึกปลอดภัยหรือกลัววะเนี่ย...

ดีนะที่รถไฟทั้งทีจีวี และทรานเซียน นี่เป้น เฟิร์สคลาสทั้งคู่ได้นั่งสบายๆๆนิดนึง

ถึงโฮวองในอีกชั่วโมงสี่สิบห้านาทีต่อมา เดินหาโรงแรมกันให้เมื่อย แต่บรรยากาศของเมืองที่นี่ทำให้ผ่อนคลายได้หน่อย อากาศสบาย (หนาว) ผู้คนไม่ล้นเมือง แถมอาคารบ้านช่องก็เต็มไปด้วยศิลปะโกธีค

Sunday, December 16, 2007

บนรถเมล์คันนั้น ที่ฉันดันหลง !

วันนั้นเป็นวันที่เหนื่อยๆ อยากกลับบ้าน ทำไรอร่อยๆกิน รีบลงจาก Eurobus ที่ Fond. Pescatore แล้วเดินเลียบมาทาง salle de bains เพื่อมาดักรอรถเมล์ที่ป้าย BadanStalt ซึ่งเป็นป้ายหลังจาก Hamillius
ต้องอธิบายก่อนสินะว่าปกติแล้วเนี่ย ยูโรบัสจะไปมีเส้นทางดังนี้
จาก พลาทูเคียชเบิร์ก เลี้ยวเข้ามาจอดที่ฟอนด์เพสกาโตฮ์ ซึ่งเป็นพาร์ด จากนั้นตรงไปมีไฟแดงสองอัน ก่อนที่จะเลี้ยวขวาเพื่อเลี้ยวซ้ายแล้วจอดที่ป้าย Royal เราต้องลงที่จุดนี้เพื่อข้ามถนน เดินต่ออีกหนึ่งบล็อคเพื่อถึง ฮามิลิอุส (ท่ารถ เหมือนอนุสาวรีย์)

แต่ถ้าเราลงที่ ฟอนด์เพสกาโตฮ์ แล้วเดินตรงไปจนถึงไฟแดงที่สอง (เหมือนรถเมล์) แต่เราเลี้ยวซ้าย ข้ามถนน เดินเลียบแซลเดอร์บาง ก็จะถึงป้ายรถเมล์ บาดันฉตัลต์
ซีว่ามันเร็วกว่านะ กับการต้องเสียเวลาไฟแดง แถมต้องเดินอีก ก็เดินมันซะเลย

รีบเดินอย่างเร็ว เพื่อออกกำลังกายไปในตัว และจะได้ไม่ต้องรอรถเมล์นาน จำได้ว่ามันจะมาตอน ทุกเจ็ด ยี่สิบหก ประมาณนั้น ปรากฎว่าจำเวลาผิดคะ
ก็เลยต้องยืนรอเกือบสิบนาที ด้วยอากาศ ลบสามองศา... ดีจริงๆ

รถเมล์คันแล้วคันเล่า ผ่านไป๋... ในที่สุดเราก็เห็นรถเบอร์เก้าผ่านมา เดินขึ้นรถเมล์แบบหิว หิว ไม่ได้คิดไร
รถเมล์ก็พาเราเลี้ยวซ้าย คิดในใจ นีมันจะพาอ้อมอีกแล้วเรอะวันนี้ จะทำถนนไรกันบ่อยๆวะ
ก็ช่วงมัน คิดว่าคงมีไรกับถนนอีกแล้ว
...
นั่งเล่นเรื่อยเปื่อยไปได้ยี่สิบนาที เฮ้ย มันชักยังไงๆแล้ว นานเกิน
อีกห้านาที เฮ้ย ทำไมมีห้าง มีแมคโด มีควิก แถวเมืองตรูมันไม่มีนี่หว่า
เฮ้ย ไอ้เบคคิน (Beggin) นี่มันที่ไหนวะ ตัดสินใจป้ายต่อมาที่รถเมล์จอด เดินไปถามคนขับ
ZLeon: "Est-ce que vous allez a' la rue de Neudorf?"
Bus driver: "Ah, non!"

ซวยสิกู ก็เลยลง ข้ามไปอีกฝั่ง ขึ้นรถเมล์กลับขึ้นมาใหม่...
เฮ้อ รถเมล์ที่เราาขึ้นคือ 282 ...

Saturday, December 15, 2007

Silent!!!... I'll kill you!!!

My friends here says something with strange face (to be precise, it's funny)

Silent...!!!
I'll kill you...!!!
I've been screw (ha ha ha)
I told the joke! (ha ha ha)
I told another one (ha ha ha)
HA HA HA...!!!

They come from here "Achmed the Dead Terrorist".

Thursday, December 13, 2007

Learn LaTeX : Complex doc on e-mail

Your correspondent doesn't have a TeX installation? You have these options:

1. convert the TeX source file to HTML. There are good conversion programs for this purpose. Then your correspondent can read your text using a web browser.

2. Does your correspondent have access to a Postscript printer? If yes, you could send a fully typeset version of your document in the form of a postscript file, which she can just send to the printer. And/or she can view it on screen if she installs the "ghostview" program (free)

3. Does your correspondent have the "Acroread" reader for Adobe PDF files installed? If so, you can send a PDF version of your typeset document.

Learn LaTeX : damn basic 1

Source: http://www.ecn.wfu.edu/%7ecottrell/wp.html
Link: LaTeX with Mac
very useful link

Text editors -- about Text editors and ASCII Character

Typesetter -- about TeX and LaTeX in general
-- introduce "document class" = type of document and "packages"= style of document
-- "preamble" of ASCII source file
--
"hands off" approach: just specify a document class and leave the rest up to the default macros
How this all work...


Text editors

What is a text editor and how does it differ from a word processor.
Text editor nowadays looks a bit like a word processor, except it has no typesetting functionality. (no pretense at representing the final printed appearance of the document.)

When you save your document, it is saved in the form of 'plain text', which in the US context usually means in "ASCII" (The American Standard Code for Information Interchange).

ASCII is composed of 128 characters (7-bit character set), including 0-9, the roman alphabet in both upper and lower case, the standard punctuation marks, and a number of special characters. An ASCII message will be understandable by any computer in the world.

Since a text editor does not insert any binary formatting codes, if you want to represent features such as italics you have to do this via 'mark-up'. That is you type in 'an annotation' (using nothing but ASCII), which will tell the typesetter to put the specified text into italics.

\textit {stuff you want in italics}

Actually, if you are using a text editor which is designed to cooperate with LaTex you would not have to type this yourself. You'd type some kind of shortcut sequence, select from a menu or click an icon, and the appropriate annotation would be inserted for you.


typesetter

The basic typesetting program that I have in mind is called TeX. It is available for free in formats suitable for just about every computer platform. TeX was written by Donald Knuth of Stanford University. He started work on TeX in 1977 and in 1990 he announced that he no longer intended to develop the program because by this time the program was essentially perfected.

If TeX is the basic typesetting engine, LaTeX is a large set of macros, initially developed by Leslie Lamport in the 1980s and now maintained by an international group of experts. These macros make life a lot easier for the average user of the system. LaTeX is still under active development, as new capabilities and packages are built on top of the underlying typesetter. Various "add-ons" for TeX are also on progress, such as a system which allows you to make PDF files directly from your ASCII source files.

"you indicate the desired structure and formatting of your document to LaTeX in the form of a set of annotations."

one very attractive feature of LaTeX is the ability to change the typeset apprearance of your text drastically and consistently with just a few commands. The overall appearance is controled by

1. "document class" that you choose (e.g. report, letter, article, book)
2. "packages" or style files that you decide to load.

By altering just one or two parameters in the "preamble" of your ASCII source file, you can completely change the font family, sizes of the fonts used, for examples.

You can get as complex as you care too, type setting with LaTeX. You can choose a "hands off" approach: just specify a document class and leave the rest up to the default macros.

The typesetting being of much higher quality than any word processor. (Natually, things like numbering of chapters, sections and footnotes, cross-references and so on, are all taken care of automatically.)

Or you can take a more "interventionist" approach, loading various packages (or even writing your own) to control various aspects of the typography. If this is your inclination, you can produce truly beautiful and individual output.


How this all work...

If you have a good TeX setup it's like this:
- you type your text into a TeX-aware editor
- when you reach a point where you'd like to take a look at the typeset version you make a menu choice or click a button in the editor to invoke the typesetter.
- open a previewer in which you see the text as it will appear at the printer.
- at some later point in the process you want to preview the updated file. Click the typesetter button again. This time you on't have to invoke the previewer again: if you've left it running in the background it will now automatically display the updated typeset version.
- when you're done with an editing session you can delete the typeset version of the file to conserve disk space. You just need to save the ASCII source file: the typeset version can easily be recreated whenever you need it.

Comment :
I think this is enough for the starter to know roughly and won't be loss with some annotation regard TeX, LaTeX, Preamble...

I'm currently enjoying and reading more...

Wednesday, December 12, 2007

ประกายเพชร

เฮ้อ... วันนี้โทรไปหาร้านเพชรที่เคยไปฝึกงาน กะว่ากลับบ้านคราวนี้จะไปสวัสดีเสียหน่อย ไม่ได้ไปเลยตั้งแต่ฝึกงานเสร็จ
"อาอี้" เถ้าแก่เนี้ยของร้านก็เอ็นดูเราอยู่บ้าง ก่อนจบการฝึกงานแกก็ได้ให้พระหลวงปู่แหวน (น่าจะใช่) บอกให้ไว้เพื่อคิดถึงอาอี้
ปรากฎว่าพี่พนักงานในร้านบอกว่า อาอิ้เสียไปสามปีได้แล้ว กระทันหันมาก ไม่มีใครได้ตั้งตัว
ซีเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน ยอมรับว่าช็อคไปนิดนึง ใจหาย บอกไม่ถูก
ยังหายใจหายคอไม่คล่อง พี่พนักงานก็บอกต่อว่า อาเตี๋ย แต่งงานใหม่แล้ว ภรรยาใหม่มาดูแลร้านเสียด้วย...
พี่วี แต่งงานไปอยู่ซานฟราน อันนี้ก็รู้นานมานานแล้ว ส่วนน้องณัฐก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา พี่ดา คนทำงานเก่าก็ลาออกไปแล้ว เหลือแต่พี่สาว พี่หมี พี่นา

อยากบอกกับอาอี้ว่า ซียังเคารพและนึกถึงเสมอมา เพียงแต่จังหวะไม่อำนวย เลยไม่ได้เข้าไปสวัสดีสักครั้ง ถ้าเข้าไปก่อนหน้านี้ก็คงดี กลับไปหวังว่าจะได้มีโอกาสคารวะอาอิ้ ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไปแล้วก็ตาม... (อาอิ้ไม่ต้องมาหาหนูก็ได้นะคะ ไม่เป็นไรคะ)

Sunday, December 9, 2007

มาดูกันดีกว่า เดือนที่แล้วใช้จ่ายอะไรไปบ้าง

เดิอนพฤศจิกายน เดือนนี้ถือเป็นเดือนแปลก ใช้จ่ายแบบแปลกๆ เหตุเพราะไม่สบายหลายวัน บวกกับสภาพจิตใจไม่ปกติ
ว่าแล้วลองเอาบิลที่เก็บๆไว้ มาคำนวณกันดูดีกว่า ว่าซื้อไรมามั่ง และหมดตังค์ไปเท่าไร

07 Nov 07 -- 15,54 Euro
milk 1L 2,36 Euro per 2
yogurt 0,125L 1,60 Euro per 4 x2
oeuf (egg) 12 pieces 2,10 Euro 
poivron mixte 3 pieces 1,99 Euro
minced meat 5% 350 g 3,60 Euro
champignon 500 g 2,29 Euro

15 Nov 07 -- 34,09 Euro -- accu = 49,63 Euro
@Auchan
choco twist 90 g 3,24 Euro per 3
poche pommes  80 g 1,08 Euro 
lasagne bolog 2,00 Euro
beef steak 8,55 Euro per 6
maggi 300ml 2,00 Euro 
salad mixer 2,50 Euro per 10
barre corny 2,39 Euro per 6
barre choco 1,80 Euro per 5
@Alima
thon 200g 2,15 Euro
wagner pizza 350g 3,98 Euro per 2
bread 500g 1,50 Euro
florette salade 2,90 Euro
17 Nov 07 -- 23,61 Euro -- accu = 73,24 Euro
milk  1L  x2  2,36
Pineapple juice  1L  x2  1,60 
Yogurt 0,125  x12 5,14
Kinder (snack) 5 piece 1,25
blank book x1 1,25
filet chicken vers 1 kg 6,55
pizza bolognese x1 1,98
pizza special x1 1,98
bus card x1 1,50

22 Nov 07 -- 3,00 Euro -- accu = 76,24 Euro
chou de chine x1 1,60
mathay pellen eer(oeuf) 10steck 1,40

26 Nov 07 -- 19,21 Euro -- accu = 95,45 Euro
@schlecker
Dove body milk 400Ml x1 3,49 
@Auchan
poivre blanc x1 3,87
Pineapple juice 1L x3 2,40
milk  1L  x1 1,18
sac x1 0,03
filet de saumon x1 3,69
Nescafe 100 gr x1 2,45
oeufs x12 2,10

27 Nov 07 -- 2,99 Euro -- accu = 98,44 Euro
@fischer
croissant praliny 70 gr. x2 2,16 
streusel  80 gr. x1 0,83

30 Nov 07 -- 5,43 Euro -- accu = 103,87 Euro
@Delhaize
kinder 1,35
Lux yogurt(Fraise) x2 1,32
Lux yogurt(lycee) x2 1,67
Citron filet x4 1,09

อืมมมม เห็นตัวเลขแล้วตกใจ เดือนนี้ใช้น้อยนะ คงเพราะอยู่บ้านน่ะแหละ
แต่ก็ยังไม่ได้รวมพวกค่าอาหารที่ออกไปกินข้างนอกนะ อืมมมม

Wednesday, December 5, 2007

visa & window shopping

วันนี้ได้รับจดหมายจาก commun หรือก็คือที่ว่าการเมือง เขียนมาเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างเคย อ่านคร่าวๆได้ความว่าเกี่ยวกัย "วีซ่า" และ "เร่งด่วน" ข้าพเจ้าก็งงเป็นไก่ตาแตก "ไรวะ ก็ไปต่อวีซ่ามาได้เดือนนึงแล้ว จะเอาอะไรอีก" จำเป็นต้องพึ่งเวปแปล แปลคร่าวๆอย่างรวดเร็ว

สรุปความว่าต้องเอาวีซาอันใหม่ไปพร้อมกับจดหมายจากกองคนต่างด้าว แสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่คอมมูน

ทำไมต้องให้ไปสองทีสามที ทำไมไม่ลิงก์ดาตาเบสกันว้า... อืม จำได้ว่าเพื่อนเคยเล่าเหมือนกันว่า ข้าราชการที่นี่ ดีกว่าฝรั่งเศสนิดเดียว แต่เรื่องการเก็บข้อมูลเหมือนกันเป๊ะ คือต่างคนต่างเก็บ ต่างรูปแบบ และบางทีข้อมูลตัวเดียวกัน ดันเรียกต่างกันอีกแน่ะ เพราะฉะนั้นจดหมายที่ออกจากกระทรวงนึง อาจจะใ่ช้ไม่ได้สำหรับอีกกระทรวงนึง กรูจะบ้าตาย... บ้านเมืองเค้าก็เจริญก้าวหน้ามากันได้เนาะ

สรุปว่าตาลีตาเหลือกรีบไปคอมมูนตอนสี่โมงเย็น เสร็จตอนสีโมงห้านาที อื้มมมม รู้งี้ทีก่อนๆๆมา ไม่มาดีกว่าตอนเช้า รอกันเป็นชั่วโมง...

ไหนๆก็เข้าเมืองมาแล้ว ก็ว่าไปซื้อของกินเข้าบ้านซะหน่อย ก็เลยเดินเล่นผ่าน Place d'Armes เค้ามีโนเอลมาเก็ต (Noel = Santa) อยู่ มีเด็กๆมาร้องเพลงตรงกลางลาน บางคนเหมือนถูกบังคับให้มา บางคนก็โชว์พลังเสียงน่าดู ในตลาดแบบนี้ ก็เช่นเคย ต้องมี "บะหมี่" ที่ทำโดยฝรั่ง เจ้าของร้านคือคนจีน เอาพระสังฆจายมาตั้ง ปักโคมไฟแบบญี่ปุ่น เขียนคำว่า "บะหมี่" ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ตัวบะหมี่มีแต่เส้นหมี่ผัดกับซอสและวิญญาณไก่ ผสมกับวิญญาณผักกาด สนนราคาที่ถ้วยละ ห้ายูโร แต่ก็เห็นคนแน่นทุกที นอกจากบะหมี่แล้ว ก็ต้องมีขนมสำหรับเด็กๆ ที่นี่ต้องมี "นูกัด" (Nugat) เป็นเหมือนแตงเมบ้านเรา แต่สีขาว และ ไม่ยืดยาวเหมือนแตงเมบ้านเราเท่าไร กินแล้วมันก็คือน้ำตาลดีๆนี่เอง แต่เด้กๆเค้าชอบกัน มีทั้งแบบผสมถั่วผสมงา ผสมบลาๆๆๆ

เดินผ่านๆๆไป ตอนนี้ทั่วในเมืองได้ประดับประดาไฟตามถนนต้อนรับคริสมาสต์กันแล้ว มันน่าจะดูสนุกสนาน แต่วันนี้เพิ่งรู้สึกตัวจริงๆ ว่าเหงา
เหงามากๆๆๆ อยู่มาจะปีนึงแล้ว เพิ่งรู้สึกครั้งนี้ว่า "เฮ้ย... เหงาว่ะ" ตังค์ก็มี พยายามเดินเข้าไปดูของจะซื้อ แต่มันก็เบื่อๆอ่ะ เดินดูไฟ มันก็สวยดี แต่ก็เหงาๆ คิดถึงพ่อกับแม่จัง เคยคิดว่าพอมีไรทำเยอะแยะมันก็จะไม่เหงา แท้จริงแล้วมันคืออาการเหงาหลบใน ทำเป็นซ่อนเอาไว้ แต่จริงๆแล้วเหงา เฮ้อ...

สรุปความได้ว่า ได้ออกจากบ้านจากการดีบักกิ้งโค้ด มาทำเรื่องเกี่ยวกับ visa และ window shopping

ปล. อยากได้แจ็คเก็ตหนังตัวนึง น่ารักดี สามร้อยห้าสิบยูโร... เหอะๆๆ ฝันไปเถอะแก Massimo & dutti

Sunday, December 2, 2007

ปฎิญาณตน

เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์เลยว่าจะปฎิญาณตัวใหม่ซะหน่อย (เอ่อ ปฎิญาณเป็นกริยา หาใช่คือคนสัตว์สิ่งของไม่ แล้วจะปฎิญาณตนมันเกี่ยวอะไรกับวันอาทิตย์ว้อยยยยย)
คือ สืบเนื่องจากความทุกข์ทรมานเหลือเกินที่ผ่านมา ลองใช้จิตเพ่งแล้ว ก็ไม่เห็นประโยชน์อันใด
พระท่านว่า ความทุกข์มันอยู่ที่ใจ เลยจะขอทำใจใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ ให้สมกับที่เคยเป็นบุคคลปฎิบัติธรรม (ขอย้ำว่า "เคย")

จะไปทุกข์มันทำม้ายยยย เกิดหนเดียว ตายหนเดียว กว่าจะตายยังไม่รู้วันพรุ่งหรืออีกกี่สิบปี
มีเวลาให้โบยบิน ให้คิดให้อ่านแป๊ปเดียว (ก็เพราะไอ้การคิดแบบนี้แหละ ว่ามีเวลานิดเดียว ทำให้เป็นทุกข์ กลัวอ่านเปเปอร์ไม่ทัน กลัวทำโปรแกรมไม่ทัน เป็นไงล่ะ ยิ่งช้าไปกันใหญ่ เพราะเครียดเกิน เร่งตัวเองมากเกิน)
ทีนี่เลยมานั่งคิดใหม่ ไอ้การที่มีเวลานิดเดียว เราเลยต้องทำยังไงให้ชีวิตเป็นสุข
ไม่ต้องเร่งตัวเองนักก็ได้ เหนื่อยนักก็พักก่อน "คนเราไม่ใช่เทวดา" เคยบอกพี่โน้ตอย่างนี้ แล้วพี่โน้ตก็บอกกับเราแบบนี้ ก็คงต้องบอกตัวเองแบบนี้ ไม่ใช่เพื่อให้ปลง แต่เพื่อให้มีกำลังใจ ว่ากูก็คนนะโว้ย ก็ทำเท่าที่ทำได้ อาจารย์กิตก็ว่า เราคิดมากไป การที่ทำไม่ได้อย่างที่คิด มันไม่ใช่ว่าเราไม่มีดี แน่นอนมีคนมากมาย ที่ทำได้ดีกว่าเรา ทำได้มากกว่าเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดี แค่เราทำได้น้อยกว่า เราก็ต้องยอมรับว่าเราทำได้น้อยกว่า ไอ้ความพยายาม มันก็ต้องพยายามกันต่อไป ไม่ใช่ว่า เหนื่อย เมื่อยท้อ แล้วก็หยุดเดิน กำลังเดินไปโรงอาหาร ถ้าบอกว่าเหนื่อย แล้วหยุดเดิน เราก็คงไม่ได้กินข้าว มันก็ต้องเดินต่อไป เดินไปเรื่อยๆ มันก็ต้องมีสักวันที่ได้กินข้าวล่ะว้า (แหม พูดแล้วก็หิว ปล. ตอนนี้สี่ทุ่มครึ่ง)

เออ เอาเป็นว่า ข้าพเจ้าขอปฎิญาณตนไม่ยอมใครผจญ... เฮ้ยๆๆ ไม่ใช่มานั่งร้องเพลงคณะวิทย์ (จริงจังหน่อยเซ่ไอ้นี่) อืม ก็คือว่าจะพยายาม ทำต่อไป ไม่มีแรง ท้อ ก็ไม่ต้องร้องไห้ ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ เปเปอร์นี้เสร็จไม่ทัน ส่งอันหน้าก็ได้วะ เค้าว่าต้องจบในสามปี ก็กูจบไม่ทัน จะไล่ออกก็เอา (เฮ้ย จะดีไม๊วะเนี่ย) นั่นแหละ เลิกเร่งตัวเอง แล้วก็ทำงานไปเรื่อยๆ คนอื่นจะมองยังไงก็ช่าง ขอให้เรารู้ตัวว่าเราพยายาม และตั้งใจทำจริงๆ เป็นพอ (เนอะ) (ฮี่)