Sunday, May 18, 2008

Deshi Kong

ช่วงนี้ของปีที่แล้ว ได้รู้จักคนจีนคนนึงที่ชื่อว่า เดชิ คง 
เขามาเรียนด้านพลังงานใหม่ ในคณะวิศวะอิเล็กทริค (New Energy, Electricity Engineering)
ได้เจอกันเพราะเขามาหาเพื่อนคนไทย ที่อยู่หอเดียวกัน 
มาบ่อยเพราะชอบเล่นกีต้าร์ด้วยกัน และทำกับข้าว กับดื่มเบียร์
เวลามา ก็จะนั่งเล่นกีต้าร์ก้นในห้องครัว (ซึ่งเป็นห้องนั่งเล่นของพวกเราที่อยู่ใกล้ห้องครัวด้วย) 
ปีที่แล้ว ยังเล่นเพลง Pachelbel - Canon in D ได้แค่ท่อนสองท่อนอยู่ และเป็นการเล่นแบบช้าๆ
ปีที่แล้ว เค้าชวนเราเล่นโกะ แต่ก็ยังไม่ได้เล่นด้วยกันซักที (เค้าอยู่ดั้งสาม -_=")
ปีที่แล้ว ไม่ได้ทำความรู้จักมากเท่าไร เพราะเห็นง่วนกันกับเพื่อนเค้ากับกีต้าร์และเบียร์ แถมยังเศร้าๆจากการที่แฟนไปแต่งงานกับคนอื่นอีกด้วย

ปีนี้ ได้เจอกันอีก 
ประทับใจในความคิดหลายอย่าง โดยเฉพาะการให้เกียรติคน
เล่นโกะด้วยกัน ทั้งๆที่เราเล่นห่วยมาก เพราะรู้แค่กฎ แต่ไม่เคยเล่นจนจบกระดานซักที
เค้าไม่บ่น ไม่พูดมากซักคำ บอกให้เล่นไป เด๋วเล่นจบแล้วเราค่อยมาคุยกันว่าเกิดไรขึ้นบ้าง
เล่นไปซักพัก เราก็เห็นแล้วว่ายังไงก็แพ้ มีห้องอยู่ไม่กี่ห้อง ตรงกลาง ส่วนมุมและข้างก็ไม่สามารถเชื่อมต่อ หรือกดดันเค้าได้เลย เราก็บอกเค้าว่า นี่เราแพ้แล้ว 

แล้วเค้าก็เริ่มอธิบายตั้งแต่ต้นว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี

ต่างจากที่เคยเล่นกับรุ่นพี่คนนึง ที่เล่นไปขำเราไป แล้วก็แกล้งเราไป...

เค้าแนะนำว่าถ้าอยากเล่นให้ดี ควรมีอาจารย์สอนก่อนตอนต้น เพราะมันมีอะไรเยอะมากที่ต้องจำ รวมถืงวิธีคิด แล้วก็แนะนำไปถึงหนังสือที่ควรอ่าน

เพื่อนที่ไปเล่นกีต้าร์กับเค้าไม่เคยเล่นกีต้าร์ไฟฟ้า เค้าก็ค่อยๆสอน
เป็นคนใจเย็นมากๆ และไม่ได้ความรู้สึกของการดูถูก หรือเห็นเป็นเรื่องขำขันเมื่อเห็นคนอื่นทำผิดพลาดเลย

เดชิเป็นคนเฉยๆ เรียบๆ แต่ก็ไม่ใช่เฉื่อยชา ไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไร แต่ไม่ใช่ว่าขี้เกียจหรือไม่ฉลาด ในทางตรงกันข้ามเดชิเป็นคนฉลาด และรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อยากได้อะไร มีจุดมุ่งหมายและความพยายาม

หนึ่งปีที่ไม่ได้เจอกัน Pachelbel - Canon in D ของเดชิก้าวหน้ามาก ไม่ใช่แค่เพลงเดียว แต่รวมถึงเพลงอื่นๆอีก ไม่ต้องดูโน้ตชีท พอเพลงขึ้น (เพื่อให้มีเสียงกลองด้วย) ก็เริ่มเล่นได้เลย ถึงจะผิดบ้าง แต่ก็ทำให้เราทึ่งอยู่ดี

หนึ่งปีทีไม่ได้เจอกัน เดชิกลับเมืองจีนสองครั้ง ฝึกงานในโรงงานพลังงานสามเดือน เค้าบอกว่าได้เรียนรู้อะไรมากกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แล้วหลังจากที่คุยกันเรื่องพลังงานในจีน เค้ารู้จริงๆว่าต่อไปเค้าอยากทำอะไร (ช่างต่างจากเราเหลือเกิน ตั้งใจเรียนมา (เกือบ) ตลอด แต่ไม่เคยรู้เลยว่า จริงๆอยากทำอะไรกันแน่)

เดชิ ทำให้เราเข้าใจว่า การได้รับเกียรติจริงๆจากความรู้สึก มันเป็นยังไง (ไม่ใช่แค่การยิ้ม หรือทักทายอย่างดี (แต่ตามมารยาท) เวลาเราไปงานหรูๆ) มันรู้สึกดีแค่ไหน และเดชิ ยังทำให้เราคิดว่า นี่เราจริงจังกับสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการจริงๆ มากไปหรือเปล่า...

Friday, May 16, 2008

ยา อาจารย์ที่ปรึกษา อาหาร

อาจารย์ที่ปรึกษาข้าพเจ้าเป็นคนอ้วนอย่างแรง เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วระหว่างทางขากลับจาก Le Harve, France หรือขาไปจาก ลักซ์ อันนี้ไม่แน่ใจ ตอนนั้นก็ช็อคไปทีแล้วว่า อาจารย์ที่ปรึกษาข้าพเจ้ากินยาเยอะจริงๆ ทั้งยาลดความดัน Bisoprolol, ยาลดคอเรสเตอรอล Zyloric, และยาแก้โรคเก๊า Lipanthil

เมื่อวานชวนแกมาดูผลลัพธ์จากนั่งเขียนโปรแกรมมาตั้งนาน จนแกเองก็คงรอแล้วรออีกเหมือนกัน คุยงานเสร็จ แกก็ว่าเย็นนี้แกจะทำ French Fried แบบเบลเยี่ยม...

สูตรมีดังนี้
หนึ่ง. มันฝรั่ง (แน่นอน)
สอง. fat cow (...)
สาม. fat horse (...)

สรุปคือแทนที่จะใช้้น้ำมันธรรมดา (น้ำมันพืช) ตามแบบฉบับของคนสมัยนี้ที่เอะอะต้องน้ำมันถั่วเหลือง หรือดอกทานตะวัน หรือน้ำมันโอลีฟ เพื่อรักษาสุขภาพ...

จารย์บอก ก็นี่ไง กินยาพวกนั้นแล้ว ก็กินไอ้ fat cow + fat horse ได้... กูละกลุ้ม

Sunday, May 11, 2008

Nodame Cantabile and Me (++)

After watching Nodeme Cantabile, my feeling toward piano comes strong again (after so much wanting to learn again four years ago but could not start because of my path for phd!!!).

So! Here are some nice websites for refreshing how to read note sheet and also practicing my finger with children keyboard and also my laptop's keyboard!!!

Download 'piano for dummy' from emule
For music sheet goes here: http://www.gmajormusictheory.org/Freebies/freebies.html
Download 'piano emulator' from emule or torrent (this makes it possible to play with computer keyboard, not very good but fun ei ei)

Do enjoy piano with me ++

Thursday, May 8, 2008

อยากเปิดร้านขายเครื่องประดับ

ฝันนี้มีมานานละ เพียงแต่ว่ามีๆหายๆ คือแต่ก่อนก็เรียนมาด้านนี้ แต่ไอ้ครั้นจะกระแดะเปิดร้านจิวเวลลี่หรูๆก็... ไม่มีปัญญาขนาดนั้นว่ะ ถึงมีปัญญาแต่รู้สึกถึงความขัดแย้งกับลักษณะบุคลิกภาพของตนเองอย่างรุนแรง

แต่ช่วงนี้อยากเปิดมากๆเลยอ่ะ ยิ่งเห็นราคาของที่นี่ยิ่งอยากเปิด
ยิ่งช่วงนี้ก็ชอบแต่งตัวขึ้นบ้างด้วย และจริงๆแล้วก็อยากกลับไปถักพวกโครเช ไหมพรมอะไรเทือกๆนั้นอีกด้วย ถ้าเกิดว่าได้นั่งออกแบบที่ร้านตัวเอง ทำเองไปด้วย คงมีฟามสุขน่าดู โฮะๆๆๆๆ (ฝันอยู๋)

อะนะ ความเป็นจริงก็คือต้องอยู่กับคอมพิวเตอร์ไปก่อน ดังนั้นในความเป็นจริง จึงได้แต่ไปแอบบดูคนอื่นเค้าทำร้านของเค้า

ตอนนี้ก็แอบดูเค้าทำไปพลางๆก่อน จับพลัดจับพลู่ได้ทำจริงๆก็ดีจิเนอะ อิอิ

เอ้าตอนนี้โฆษณาให้ชาวบ้านไปก่อนเอ้า...
http://www.edituspro.lu/luxweb/AP/en/24-Fashion_and_beauty/1170000-Jewellery_Trade/
http://beeforgems.com/

Tuesday, May 6, 2008

ตัดสินกันให้เสร็จอีกละ

เราชอบ หรือไม่ชอบอะไร
เรารู้สึกยังไง 
เราไม่สบายหรือเปล่า
เราไหวไหม

คำถามพวกนี้ อย่าตัดสินแทนกันได้ไหม
เบื่อเต็มที จะทนไม่ไหวอยู๋แล้ว

ไอ้ที่ต้องมานั่งอยู่ที่นี่ ก็เพราะเราเองไม่ได้ตอบคำถามพวกนี้ด้วยตัวเอง
ทั้งๆที่มันเป็นคำถามที่ต้องตอบด้วยตัวเอง

แต่หลายคนก็พยายามจะตอบแทนเรา คนที่รักเราจริงๆหวังดีอยากให้ได้ในสิ่งที่ดีที่สุดเราเข้าใจ

แต่ไอ้พวกมาตอบแทนว่า ซีหายแล้ว ซีไม่เป็นไรแล้วเนี่ย หรือซีเป็นหนัก พอสักทีได้ไหม ทำไมต้องคิดแทนกูด้วยฟร่ะ พวกคุณรู้ร่างกายกรูได้ไงฟร่ะ เบื่อ...

Monday, May 5, 2008

จักรยานล้มจ้า

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา (วันแรงงาน) เกิดอาการบ้างาน อยากได้จอใหญ่ๆ จะได้เขียนโปรแกรม ชาวบ้านชาวช่องเค้าหยุดยาว พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์กัน หนูซีก็ทะลึ่งขี่จักรยานไปทำงานที่มหาลัย

ตอนจะกลับฝนก็ตก เลยปล่อยให้ตกๆกันให้เสร็จ จะได้ไม่เปียก
พอฝนหยุดตก ก็ขี่จักรยานออกมาด้วยความร่าเริง
จาก J.F. Kennedy, Kirchberg กำลังจะลงไปที่ Weimershof ก็เกิดเรื่องจนได้

ที่นี่เค้าจะมีทางให้จักรยาน คนนั่งรถเข็นขึ้นเกือบทุกๆที่ที่มีม้าลาย เรียกได้ว่าทุกที่เลยดีกว่า ยกเว้นบางที่ ที่เค้าคิดแล้วว่ามันอันตราย เช่นมีหลายเลนพาดไปมา

เราก็นี่เล้ย ลงมาจากทางลาดโค้ง ใจก็หวิวๆนิดหน่อย (มันชัน และเปียก) ก็จับแฮนด์ดีๆ ลงมาได้ดีปลอดภัย ก็จะข้ามถนน แล้วขึ้นไปขี่บนทางเดิน

อีตอนขึ้นนี่ิดิ มันลื่น แล้วมันก็มีขอบระหว่างทางเดินกับถนนด้วย คือมันไม่เรียบเนียนอ่ะ มีขอบสูงเหมือนกัน ก็ลื่นหน้าคะมำน่ะสิ
ไอ้ตอนล้มนี่ไม่รู้ตัวเลยนะ รู้ตัวอีกที นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น แล้วก็เจ็บมือกะเข่าสุดๆ ร้องจ๊ากเลยขอบอก เจ็บมากๆๆ เจ็บแบบ เฮ้ย ไรจะเจ็บขนาดนี้วะ

ด้วยความแมน ก็ต้องรีบลุกขึ้นไว้ก่อน โอ้โฮย โคตรเจ็บ ร้องลั่นละแวกนั้นเลย แต่ไม่มีใครออกมาดู เพราะดันไปอยู่หน้าบ้านคนรวย หลังโคตรใหญ่ มันคงไม่ได้ยินเสียงคงผ่าโรงรถด้านหน้าไปไม่ถึง...เฮ้อ พอยืนหายใจหายคอสักพัก มันไม่หายเจ็บสักทีว้อย แผลไรวะ ลองเปิดกางเกงยีนส์ขึ้นมาดู ก็มีถลอกๆหน่อยเดียว แต่ทำไมปวดแบบนี้ฟร่ะ

เลยว่าพักแป๊ปนึงค่อยขี่ต่อกลับบ้าน (ยังมีกะใจจะขี่ต่ออีกแน่ะ) ว่าแล้วก็หันไปคว้าจักรยานขึ้นมา

เอ้า...โซ่หลุด ทำไงล่ะเนี่ย พยายามไส่อยู๋สักพัก แต่มันเจ็บมาก (เข่า) ไม่ไหว ต้องยืนตรงๆ นั่งไม่ได้ เราก็เฮ้ย นี่มันเจ็บนานเกินไปแล้ว เข่าเป็นไรป่าววะ คือมันเจ็บน้ำตาเล็ดเลยนะ

แต่ก็พยายามจะใส่โซ่ต่อ พอใส่ได้ ลองถีบ เอ้า ทำไมมันแปลกๆ ปรากฎว่าใส่ผิดวง
คือจักรยานข้าพเจ้ายี่สิบกว่าเกียร์ ตอนขี่ใส่วงสองอยู๋ แต่ดันเอาโซ่ไปใส่ที่วงสาม (แล้วมันจะขี่ได้ไหม)
เอาไม่เป็นไร ทนทรมานอีกหน่อย พยายามจะเปลี่ยนกลับไปวงสอง...แต่...แต่...แต่มันไม่ไหวแล้วโว้ย เข่ามันเจ็บมาก หน้าแข้งอีกข้างด้วย มือก็แสบ (เป็นแผลลึกเหมือนกัน หนังเปิดเป็นแผ่นเลย)

โทรหาเพื่อน ให้มันมารับไปโรงบาลหน่อยดีกว่า ยืนรอเพื่อนอยู่ประมาณยี่สิบห้านาที
ตลอดเวลานั้นไม่ปรากฎความเบาบางของการเจ็บปวดแม้แต่น้อย น้ำตาไหลพราก แล้วก็บอกว่าไม่ร้องๆๆๆ แล้วมันก็ไหลไหม

พอเพื่อนมากับโบ้ปี่ โบ้ปี่ก็ให้โทรถามว่าวันนี้โรงบาลไหนเปิดสำหรับอุบัติเหตุมั่ง

คือที่นี่วันหยุดราชการในเมืองแต่ละเมืองเค้าจะมีคลีนิค หรือโรงพยาบาลผลัดกันอยู่โยง ไม่ใช่ว่าวิ่งไปโรงบาลไหนก็ได้หรอกนะ (แล้วถ้าตูอยู่คนเดียวจะทำไรถูกไม๊ล่ะเนี่ย)

ก็หอบหิ้วกันไปโรงพยาบาล รวบรัดตัดความว่า หมอให้เอ็กซเรย์ แทบจะทุกจุดที่กระแทก
ยืนบนเครื่องมือเอ็กซเรย์ เครื่องมันก็เหมือนมือกล หมุนไปหมุนมารอบตัวเรา แล้วก็ถ่ายโน่นนี่ เสร็จมีการจับเราหงายเป็นนอน(อัติโนมัติ คือมีเสียงเจ้าหน้าที่บอกให้พิงหลังกับกำแพง แล้วมันก็หมุนลงไป) แล้วก็ฉายรังสีอีก... นึกว่าอยู่ในยานอวกาศของเอเลี่ยน ฮ่าๆๆๆ

สรุปว่าเข่าบวมมาก แต่ไม่หัก ไม่กระเทาะแต่อย่างใด พยาบาลทำแผลให้หยั่งกับเราเป็นมัมมี่ แถมโดนฉีดยากันบาดทะยักด้วย ทีนี้ก็ไม่ต้องฉีดไปอีกสิบปี

ที่ต้องทำใจเวลาหาหมอที่นี่คือ มันสั่งให้ถอดเสื้อผ้าทุกที ก็คือเหลือกกน. เสื้อใน หรือเสื้อทับแค่นั้น

ค่ารักษาพยาบาลไม่ต้องเสีย เพราะมีประกันสังคม ไม่ได้จ่ายแม้แต่บาทเดียว

หมอออกใบสั่งยาให้ไปซื้อยาลดปวด สองแบบ ถ้าแบบแรกเอาไม่อยู๋ให้กินแบบสองครั้งล่ะ สามสิบหยด เอ้อ เพิ่งเคยเห็นยาแบบนี้

ไปซื้อยา เอาบัตรประกันสังคมให้เค้าดู เค้าก็จะคิดราคาที่เคลมแล้วให้เราทันที จากที่ต้องจ่ายสิบกว่ายูโร ก็เหลือประมาณเกือบสองยูโรเท่านั้น

เฮ้อ สวัสดิการดีน่าใจหายเมื่อเทียบกับสามสิบบาทรักษาทุกโรค หรือประกันสังคมบ้านเรา (แต่เค้าก็จ่ายภาษีแพงกว่า และมีรายได้เยอะกว่าเราสี่ห้าเท่าล่ะนะ)

เรื่องนี้เกิดเมื่อสี่ห้าวันที่แล้ว ตอนนี้ก็ค่อยยังชั่วล่ะนะ แผลที่มือหายไวราวปาฎิหารย์ เพราะหมอว่า ต้องให้แผลแห้งเข้าไว้ เราก็เลยไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่วันนั้น ฮ่าๆๆๆๆ ส่วนที่เข่า... เด๋วเอารูปมาให้ดูละกัน วันแรกมันบวมเป่ง วันที่สองเริ่มเห็นเลือดค้าง ตอนนี้ก็ม่วงล่ะนะ แต่ก็โอเค เดินได้ ไม่เป็นอะไรจ้า

ปล. ยังไม่ได้บอกพ่อแม่เลย กลัวท่านเป็นห่วง
ไว้ให้หายดีก่อนค่อยบอกดีกว่า

Sunday, May 4, 2008

Basic Utensil in Kitchenware

เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนนี้ข้าพเจ้ามีมีดอยู่อันเดียว ใช้ทำสารพัดอย่างตั้งแต่หั่นเนื้อ แล่ปลา หั่นผัก ปลอกเปลือกแครอทในบางคราว (ที่ขี้เกียจหยิบที่ปอกเปลือกมาทำ) หั่นสิ่งละอันพันละน้อยในครัว ก็ได้ไอ้มีดอันโตนี่ทำทั้งหมด 

แต่ก็สังเกตุชาวบ้านชาวช่อง คนยุโรป ทำไมแม่มมีมีดหลายแบบนักวะ หรือเราก็ควรเข้าใจการใช้มีดก่อน ที่จะมาสเตอร์การทำอาหารจริงๆ ว่าแล้วก็ลงมือ (จริงๆคิดไว้นานละ เพิ่งจะนึกออกเอาวันนี้!... เอ้าไม่เป็นไร ไม่มีคำว่าสายใช่ไหม...น่านปลอบใจตัวเองอีก) เริ่มจาก วิกีพิเดีย ไล่ไปเวปไซต์ยี่ห้อดังๆ ก็เลยเอารูปมารวบรวมไว้ คือว่า แต่ละแบรนด์ แต่ล่ะซีรีส์มันหน้าตาต่างกัน นิดๆหน่อยๆ เลยต้องเอามาให้ดูไปพร้อมๆกันว่ามันไอ้ประมาณนี้นะว้อย ฮุฮุ 

สุดท้ายของการทำรีเสิร์ทครั้งนี้ได้ข้อสรุปว่า ข้าพเจ้าต้องการ Peeling Knife (หรือที่บางครั้งถูกเรียกว่า Tourne Knife) หรือ Paring Knife นั่นเอง สืบเนื่องจากว่า ไอ้การหั่นผักเล็กๆด้วยมีดอันโตมันก็ไม่ใช่เรืองลำบากไรนัก นอกเสียจากว่าเสียเวลา กว่าจะเงื้อง้างนันเอง 

อ้อลืมบอกไปว่ามีดอันโตที่ใช้อยู่นั้น เป็น Chef's Knife แบบของเยอรมันซะด้วย กล่าวคือมีหน้าท้อง (เหมือนเจ้าของฮ่าๆๆ) ซึ่งของฝรั่งเศสจะเป็นแบบสามเหลี่ยมไม่ค่อยมีหน้าท้องเท่าไรจ้า (เอ้าแต่รูปในวันนี้ไม่ค่อยมีของฝรั่งเศสแท้ๆเลยเน้อ ต้องขออภัย)








peeling and paring knife 


==================================






Boning Knife 


==================================





Bread Knife 




==================================



Breakfast Knife








===================================










Chef's Knife



=================================

Thursday, May 1, 2008

หลอกตัวเองอยู่ทุกวัน

ทำไมชีวิตมันถึงได้เศร้า หดหู่อะไรได้มากมายขนาดนี้
ตั้งใจทำ ก็ช้าเกินไปบ้างล่ะ ไม่ได้เรื่องบ้างล่ะ

ไม่ตั้งใจทำ ก็เท่านั้น ไม่ได้อะไรดีขึ้นมาเลย 
ทุกวันนี้อยู่แบบหลอกตัวเองไปวันๆ หลอกว่า เด๋วมันจะดีขึ้น 
เด๋วก็คิดงานออก
เด๋วก็ทำเสร็จ
เด๋วก็ชอบไปเอง
เด๋วก็จบแล้ว
เด๋วก็กลับบ้านทำไรอร่อยๆกิน
ทั้งๆที่ทุกวันมันทุกข์ มันเศร้า มันเบื่อ มันเหงา มันแย่มากๆๆ
ทำกับข้าวก็ทำให้ลืมได้เฉพาะตอนนั้น แต่มันก็ไม่ได้ลืมทั้งหมด
ในใจมันก็กังวลอยู่ตลอดเวลา ไอ้นั้นยังอ่านไม่เสร็จ โปรแกรมยังเขียนไม่หมด
ไอ้นี่ก็ต้องเขียน ไอ้นั่นก็ต้องพรูฟ กินก็ต้องกิน นอนก็ต้องนอน เด๋วไม่สบาย
ไม่มีความสุขจริงๆเลยแม้แต่วันเดียว