Thursday, November 29, 2007

ยามเช้า

ท่ามกลางความเงียบสงัดของสายลม เสียงฝีเท้าหนึ่งค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้น
รองเท้าบู๊ตคู่งามเหยียบผ่านพื้นหินใหญ่น้อยที่เปียกชุ่ม เจ้าของเท้าคู่นี้อยู่ในอาการเร่งรีบ
เสื้อโค้ทสีดำแลดูบางเกินไปกับอากาศที่หนาวและชื้นแฉะเช่นนี้ เธอสวมกอดแขนกระชับเข้า
เสียงตึก ตึก ปลุกให้บรรดาสัตว์ตัวเล็กๆในบริเวณมีการเคลื่อนไหว
กระรอกน้อยกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดมาทางด้านข้าง นกที่มักอยู่กันเป้นคู่ส่งเสียงกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกัน
ในช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้ ใบไม้ร่วงหล่นจนเกือบหมดแล้ว
ม่านต้นไม้ที่เคยกั้นสวนแห่งนี้ไว้เป็นส่วนๆ ได้ถูกเปิดออก
จากจุดที่หญิงสาวกำลังเดินอยู่ เธอสามารถมองผ่านไปทางฝั่งตะวันตกได้อีกราวครึ่งกิโล เว้นเสียแต่ว่าหมอกจะลงหนาเกินพอดี
อย่างเช่นวันนี้...
เธอเดินอยู่บนถนนแห่งหนึ่งในสวนสาธารณะ ท่ามกลางอากาศหนาวและหมอกที่ลงจัด ถึงแม้ขณะนี้คือเวลาเกือบแปดนาฬิกาในยามเช้า
ทว่าทุกอย่างรอบตัวกลับโพล้เพล้จนเกือบเรียกได้ว่ามันยังไม่เช้าเลย

เสียงฝีเท้าหยุดลงฉับพลัน หญิงสาวพยายามมองทะลุม่านหมอกที่บัง บางสิ่งบางอย่างอยู่เบื้องหน้า
สัญชาติญาณบอกกับเธอว่ามีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้น...

"เฮ้ย ไรวะ แล้วจะไปทางไหนล่ะเนี่ย" หญิงสาวเปรยขึ้น
คนงานข้างหน้าเธอสองสามคนมองมาด้วยท่าทีแปลกใจในภาษาที่เธอใช้
"moien" เธอทักทายพวกเขา
"moien.." "moien" "bonjour" พวกเขาทักทายกลับ
คอมมูนคงให้เจ้าหน้าที่มาทำถนนในสวนแห่งนี้ใหม่

สุดท้ายหญิงสาวที่รีบเดินไปเรียนภาษาฝรั่งเศสเลยต้องเดินอ้อมถนนส่วนที่เจ้าหน้าที่กำลังขุดกันอยู่ ไปบนดินเฉอะแฉะ...

จบ

Wednesday, November 28, 2007

พรุ่งนี้ที่รอคอย

ร้องไห้คิดถึงพ่อ แม่ และคุณยาย ครั้งแรกตอนไปกรีซ (สิบเอ็ดวัน) เริ่มร้องไห้คืนที่ห้า นั่นเป็นครั้งแรกที่ห่างบ้านนานกว่าสามวัน
ร้องไห้คิดถึงพ่อ แม่ และคุณยายอีกครั้งตอนมาอยู่ที่นี่ได้สองอาทิตย์ มันเหงา ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะคุยกับใคร ไม่ใช่ว่าไม่มีคนคุยด้วย แต่ไม่อยากคุยกับใครมากกว่า

หลังๆมานี้ ไม่รู้ว่าร้องไห้คิดถึงบ้านกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อาจจะเรียกได้ว่านับไม่ถ้วน
ร้องไห้ ไม่มีสาเหตุ อยู่ๆมันก็ตื้อๆ น้ำตามันก็เอ่อขึ้นมาเอง
เขียนโปรแกรมก็ร้องไห้
กินข้าวก็ร้องไห้
เช็ดห้องก็ร้องไห้
ซักผ้าก็ร้องไห้
ดูเจาะเวลาหาจิ๋นซี หรือแม้กระทั่งตอนนี้ก็ร้องไห้...

ใครจะว่า เป็นคนใจเสาะ อ่อนแอก็ช่าง
คนเรามีขีดจำกัดไม่เหมือนกัน และอ่อนแอในเรื่องที่ต่างกัน
ถ้าวันพรุ่งนี้ โปรแกรมเขียนเสร็จ เริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้
อะไรๆอาจจะดีกว่านี้ นี่ก็พยายามเชิดหน้ารอวันพรุ่งนี้อยู่ ว่าเมื่อไรมันจะมาถึงซักที

แม่จ๋า...

วันนี้แม่โทรมา ถามว่าซีเป็นอย่างไรบ้าง
แล้วแม่ก็พูดมาคำนึงว่า ซีอยากให้แม่ช่วยอะไรบ้างไหม
แม่ไม่อยากให้ซีเป็นทุกข์...

อยากบอกแม่ใจจะขาดว่า ขอหนูกลับไปอยู่กับแม่ได้ไหม
ขอไม่เรียนแล้วได้ไหม
แต่มันก็พูดไม่ออก
เพราะรู้ดีว่าแม่ต้องให้รีบกลับทันที แต่แม่ก็คงจะเสียดาย...

ทุกคนก็คงจะเสียดายแทนเรา วันนึงถ้าเราย้อนกลับมามองตัวเราในวันนี้
ก็อาจจะเสียดายเหมือนกัน

เกิดมาเป็นคนแล้ว ก็คงหนีความทุกข์ไปไม่พ้น
แต่สักวันความทุกข์อันปัจจุบัน ก็จะผ่านไป กลายเป็นความทุกข์ในอดีต
เพื่อรอความทุกข์อันใหม่ เข้ามาแทนที่... อยู่ร่ำไป

ก็คงทำอะไรไม่ได้สินะ ซีเอ๊ย...

Saturday, November 17, 2007

MINHS ASIA MARKT -- 17-11-2007

มาม่าหมูสับ หนึ่งลัง แปดยูโร (๘)
ซีอิ๊วขาวขวดใหญ่ สองจุดสองศูนย์ยูโร (๒.๒๐)
ซีอิ๊วหวานขวดเล็ก เก้าสิบเก้าเซนต์ (๐.๙๙)
ซอสผัดไทย หนึ่งจุดสองห้ายูโร (๑.๒๕)
ซอสทั้งหลายทั้งปวงของโลโบ้สามซอง หนึ่งจุดเก้าห้ายูโร (๑.๙๕) (ซองละ หกสิบห้าเซน ๐.๖๕)

เงินมันได้มาแล้วหมดไป ซื้อแค่นี้ก็ปาเข้าไปสิบห้ายูโร
อาทิตย์นี้จ่ายของไปสามรอบ ประมาณหกสิบยูโร
นี่ยังไม่นับอาหารการกินตอนกลางวัน และตอนอื่นๆ...

ไว้มานั่งลองคิดว่าวันๆใช้อะไรไปบ้างดีกว่า
อย่างวันนี้จ่ายค่ารถเมล์ไป หนึ่งจุดห้ายูโร เพราะลืมตั๋วเหลือง (ราคา หนึ่งจุดสองยูโร)
กินเบอร์เกอร์คิง หกยูโรกว่าๆ (จำไม่ได้แล้ว)

เออ น่าสนุกว่ะ จะได้จำราคาของได้ด้วย...

Friday, November 16, 2007

An Optimal Algorithm for Scanning All SPT of Undirected Graphs

a b c d e f g
h i j k l m n o p
q r s t u and v
w y x z

เริ่มบ้าไปแล้วครับพี่น้อง
คือเราต้องเขียนโปรแกรม ที่เอาไว้หา ทุกๆสแปนนิ่งทรี ที่เป็นไปได้จากกราฟ จี
ทำตามซุโดโค้ดของเปเปอร์หนึ่ง

ยากฉิบหาย....
ฟังดูเหมือนง่าย แต่เปเปอร์มันคือแมทล้วนๆ
แถมไอ้เราก็แม่นโค้ดดิ้งซะเหลื้อเกิน

กลุ้ม พรุ่งนี้จะเสร็จไม๊วะ จะได้เขียนเปเปอร์ซะที

ปล. การมาเรียนพีเอชดี ทำให้คนๆนึงซึ่งเคยมีไฟ ทะเยอทะยาน กลายเป็นน้ำนิ่ง เน่าสนิท (ไปแล้ว)

Saturday, November 10, 2007

วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

คนลักเซมเบิร์กดั้งเดิมส่วนใหญ่ เป็นพวกรวยเก่า คือรวยพื้นที่ ร่ำรวยเงินทอง อยู่กันอย่างสุขสบาย
ถึงแม้จะบอกว่าประเทศนี้เคยมีอุตสาหกรรมเหล็กในช่วงปีหกศูนย์ ถึงเจ็ดศูนย์ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง
(ในปีหกศูนย์ นายหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯก็เคยทรงเยือนยังแหล่งผลิดเหล็กที่ประเทศแห่งนี้มาแล้ว)
แต่กิจกรรมทางการค้าส่วนใหญ่ กลับเป็นเรื่องของเกษตรกรรม คนลักเซมเบิร์กส่วนใหญ่ เป็นชาวไร่ชาวนา
แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คงจะไม่ได้ เพราะที่นี่เค้าเป็นเกษตรกร ก็เป็นอย่างไฮโซกัน คือใช้อุปกรณ์ดี มีชีวิตดี กินอาหารดีๆ มีบ้านดีๆอยู่
คำว่ามาตรฐานชีวิตที่เคยได้ยิน เคยร่ำเคยเรียนมาตั้งแต่ยังเด็กนั้น ก็ได้มาเห็นจริง รู้สึกกันจังๆก็ตอนนี้นี่เอง

(ไม่รู้สิ ไฮโซบ้านเราคือพวกที่ออกงานสังคมบ่อยๆ บ้างก็ไปเพื่ออวดร่ำอวดรวย บ้างก็ไปเพื่อถีบตัวเองจากคนชั้นกลางไปเป็นไฮโซ บ้างก็ไปเพราะไม่มีไรทำ บ้างก็ไปเพราะอยากมีรูปอยู่ในหน้าสังคม สรุปไฮโซบ้านเรามีมากในปริมาณ แต่ด้อยคุณภาพ)

ไฮโซที่นี โอเค เค้าก็แข่งกันบ้าง แต่ความต่างมันไม่เยอะ... (อาจจะเพราะเคยเจอแต่แบบนี้)

คนที่นี่ถึงรวยเค้าก็ขยััน ไม่ใช่ว่าไม่มีการขี้เกียจเลย แต่ถึงเวลาทำเค้าก็ทำ ทำอย่างจริงจัง เค้าจะบอกตัวเองว่าอันนี้ต้องทำ ก็ทำ พอถึงเวลาทำได้จนพอใจแล้ว เค้าก็พัก
ความพอใจในงานที่ทำไปแล้วนี่ก็เรื่องนึง คือถ้าลองเค้าได้ทำแล้ว เค้าก็อยากทำให้เสร็จ แต่ถ้ามองแล้วมันไม่เสร็จง่ายๆ เค้าก็จะพยายามทำให้ถึงจุดๆนึงที่เหลือไม่เยอะ และไม่ใช้งานตัวเองมากเกินไป

แค่พูดมันก็ง่าย เพราะซีเองก็มีปัญหากับการตัดสินใจในแบบที่ว่าพอสมควร บางครั้งความขี้เกียจมันก็บอกเราว่า "พอเหอะ" "ไว้ทำต่อทีหลัง" โดยที่เราอาจจะไม่ได้ตัดสินจากเนื้องานก็ได้

คนที่นี่ถึงรวยเค้าก็ประหยัด...
เห็นแล้วนึกถึงพ่อจริงๆ พ่อเป็นแบบนั้นเลย คือเค้าจะประหยัดใช้ในสิ่งจำเป็น เรื่องกิน จะกินดีๆ อาจจะแพงบ้าง ไม่แพงบ้าง แต่ขอให้เป็นของดี ขอให้อิ่ม อย่าอด แต่ก็อย่ามากไป
เรื่องอื่นๆ ถ้าไม่จำเป็น หรือคิดแล้วมันไม่คุ้มกับราคาที่เสียไป ก็ไม่ซื้อมา

เห็นคนลักเซมเบิร์กหลายคน ไม่สนใจใบปลิวโฆษณาสินค้าจากพวกซุปเปอร์มาเก็ต
เหตุเพราะโฆษณาที่ว่าถูก ที่ว่าลดราคาเหล่านั้น บางครั้งก็ทำให้เราอยากได้ของในสิ่งที่ไม่จำเป็น
เพียงเพราะเห็นว่ามันถูก เราก็เลยอยากได้ อยากซื้อ ทั้งที่เรายังมีของใช้ ของกินเหล่านั้นอยู่
เค้าเลือกที่จะซื้อเมื่อจำเป็น ดีกว่าซื้อเพราะมันถูก แล้วก็เอาของมาเก็บไว้ให้มันเก่า หรือทำให้มีของกินมากเกินความจำเป็น แล้วก็ต้องมานั่งพยายามกินให้หมด เพราะซื้อมาแล้ว...

นั่นคือมุมมองที่เห็นจนถึงปัจจุบัน

แต่ในสังคมของประเทศนี้ไม่ได้มีแค่คนลักเซมเบิร์กดั้งเดิมอย่างเดียว
ประเทศนี้เต็มไปด้วยผู้คนจากหลากหลายชาติ ภาษา และวัฒนธรรม แบ่งได้เป็น หกส่วนหลักๆ
หนึ่งคือ คนฝรั่งเศส สองคือคนเยอรมัน สามคือคนจากอาฟริกา สี่คือคนจีน ห้าคือคนโปรตุเกส และหกคือคนจากทุกชาติทุกภาษาปะปนกัน (ที่เคยเจอ คนอังกฤษ อเมริกา คนจากโซเวียตเก่า (โปแลนด์ เช็ค สโลวัค เซป โอย เยอะมาก) อิตาลี โรมาเนีย ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ (ปล.ยังไม่เคยเจอลาว))

เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ คนที่เป็นเชื้อชาติอื่น แต่มีสัญชาติเป็นลักเซมเบิร์กจึงเต็มประเทศ
และสิ่งนี้เริ่มเป็นปัญหาในการแบ่งความเป็นไฮโซ และโลโซ

คนโปรตุเกส
คนลักเซมเบิร์กจำนวนมากมีเชื่อชาติเป็นโปรตุเกส คนเหล่านี้เข้ามาตั้งรกรากจากความเป็นจริงที่ว่า ในโปรตุเกสไม่มีงานให้ทำ ประเทศค่อนข้างจน (แต่ก็อาจจะรวยกว่าเรา อันนี้ต้องเช็คอีกที) การเข้ามาของโปรตุเกส ทำให้คนลักเซมเบิร์กดั้งเดิมมองพวกเค้าอย่างชนชั้นล่าง ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบปี คนโปรตุเกสเหล่านั้นก็มีเงินทอง ร่ำรวยไม่ต่างจากคนลักเซมเบิร์กแท้ๆเท่าใดนัก แต่ก็ยังคงถึงเหยียดหยามจากคนลักเซมเบิร์กบางกลุ่มอยู่นั่นเอง

ธรรมชาติของคนโปรตุเกส คือความขี้เกียจ งก และหยิบโหย่ง
ธรรมชาติของคนฝรั่งเศส คือ cheating with everything โดยเฉพาะเรื่องเซ็กส์
ธรรมชาติของคนเยอรมัน คือ ชอบเห็นตัวเองยิ่งใหญ่ และชอบกินข้าวกลางวันเร็ว (ก่อนเที่ยง ฮ่าๆๆๆ)
ธรรมชาติของคนอาฟริกา คือ ชอบถกปัญหาต่างๆในลักษณะที่เหมือนทะเลาะกันรุนแรง (หนวกหู)

แต่สิ่งนึงที่เห็นเหมือนกันของคนที่นี่ก็คือ โลกนี้มันไม่มี moral ไม่มีถูก ไม่มีผิดอีกต่อไป มันมีแต่ "คุณจะรับ หรือจะปฎิเสธ" เพราะความถูกหรือความผิด มันไม่มีอยู่จริง "ชอบ หรือไม่ชอบ" ต่างหากที่ผู้คนรู้สึก ที่ผู้คนจับต้องได้

คำว่า "คอมมอนเซนต์" ที่ซีเคยใช้จนถึงเมื่อไม่นานนี้ จึงไม่มีอยู่จริง ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้

...และเหล่านี้คือสิ่งที่พบในเก้าเดือนที่ผ่านมา

Wednesday, November 7, 2007

ไกล

โลกนี้มีสิ่งต่างๆมากมายให้เรียนรู้
การได้มาเรียน มาใช้ชีวิตที่นี่ เพียงแค่ไม่ถึงปี
แต่ก็ทำให้ได้เห็นสิ่งต่างๆมากมาย
ทำให้เห็นว่า เราเป็นคนที่ตัวเล็กจริงๆ
สังคม ความรู้สึก ความคิด ของคนแต่ละคน
ผ่านการปลูกฝัง ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม
ดูจะแตกต่างกันแบบไม่มีรูปแบบ
ไม่ได้จำเพาะว่า เราอยู่ในเอเชียแล้วเราจะล้าหลังเสมอไป
ไม่ใช่ว่าเราโลกแคบ หรือกว้างไกล
ต่างโลก ต่างทวีป ต่างพื้นที่ ก็มีมุมมองของตัวเอง
การได้มาเห็นแบบนี้ ทำให้คิดเสียดาย รู้สึกเสียใจ ในความคิดบางอย่าง
และรู้สึกดีใจ ในบางสิ่งบางอย่างเช่นกัน

สิ่งมากมายที่ต้องเรียนรู้ และปรับตัวที่นี่
เริ่มตั้งแต่การ์ตูน หนัง ละคร อาร์ต เพลง
อาหาร การแต่งตัว การเดินทาง การเข้าสังคม ไปจนถึงวิธีคิด
เราช่างไม่ใช่คนของที่นี่จริงๆ...

Monday, November 5, 2007

คำสารภาพ-found

จะบ้าตาย... เหตุเกิดสดๆร้อนๆ
ทำไมต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตูด้วยเนี่ย
เรื่องมีอยู่ว่า ดร.คนนึง เป็นเพื่อนในทีม เป็นคนฝรั่งเศส แต่งงานแล้ว มีลูกชายหนึ่งคน
มาสารภาพว่าชอบเรา...
จ้ากกกกก
ว้ากกกกก
โว้ยยยยยย

ไอ้ตอนแรกก็นึกว่าพูดเล่น เห็นพูดมาหลายทีละ นึกว่าเจ้าชู้ตามสไตล์คนฝรั่งเศส
ไม่ใช่เว้ย พี่แกจริงจัง
พี่แกบอกว่า ที่อยากบอกเราเพราะกลัวเราเข้าใจผิดว่าคนฝรั่งเศสเป็นแบบนี้
จริงๆคืออยากเตือนเราด้วย เพราะคิดว่าเราก็อาจจะเคยสังเกตุเห็นว่าแกชอบเรา
ไอ้เราก็งงเด่ะ (จริงๆมันก็เคยทำท่าแปลกๆเหมือนกัน)
พี่แกก็บอกต่อว่า แต่นี่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเราจะทำให้ครอบครัวแกแตกแยก
เพราะแกก็ยังรักภรรยา รักลูกเหมือนเดิม แค่มาเจอว่าชอบเราด้วย
แกใช้คำว่า แอท-แทรก-ทีฟ
เราก็ยังคงไฉเฉต่อไปว่า เฮ้ย เรื่องปกติ เพื่อนๆเราส่วนใหญ่ก็คือคนที่เราชอบทั้งนั้น
แกก็สวนกลับมาว่า แบบว่าอยากจูบด้วยป่าว
...จ๋อยสนิทคร่ะ

สรุปว่า แกก็ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึก เลยบอกให้เราระวังตัวไว้ และให้เข้าใจแกด้วย... ประมาณนั้น
เฮ้อ... ไม่ไปเล่นการ์ดเกมส์กับแกแว้ววววว น่ากัว


ปล. เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเรื่อง !(found)

Saturday, November 3, 2007

ตัวเอง

การได้มีโอกาสมาอยู่คนเดียว ออกห่างจากครอบครัว และเพื่อนฝูงที่สนิทกัน ทำให้เราเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น ว่า...

ทำไมกรูเป็นคนจู้จี้จุกจิกอย่างนี้ว้าาาาาา

อย่างนั้นเลยน่ะ
เรื่องห้องน้ำ...
"ทำไมเพื่อนมันไม่รู้จักเช็ดคราบไขมันจากตูดจากขามัน ที่เลอะอยู่บนฝาส้วมหน่อยว้า...นี่มันไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วนี่...กรูเช็ดสามรอบถึงจะสะอาดนะโว้ย"

"ทำไมถึงมีทิชชู่กรูกะอองเดรย์แค่สองคนว้า... คนใช้ห้องน้ำอีกสองคนมันคิดจะใช้ทิชชู่เราสองคนไปถึงไหน"
ว่าแล้วก็แอบเก็บทิชชู่ตัวเอง

และแล้วห้องน้ำก็โคตรสกปรก กล่าวคือ มีคราบน้ำ เหมือนฉี่กระเด็นบนฝาส้วมประจำ
ว่าแล้วก็เอาทิชชู่ตัวเองออกมาวาง
เอ้อออ ห้องน้ำสะอาดขึ้นนะ... กรูล่ะกลุ้ม

"ทำไมมันไม่เก็บขน+ผมที่อยู่ในอ่างอาบน้ำให้หมดว้า เราก็เก็บทุกครั้งน้า ไอ้พวกฝรั่งยังไม่เท่าไร ไม่ค่อยเห็น ไอ้พวกหัวดำเหมือนกันเนี่ย เด๋วเค้าก็มามองว่าชั้นสกปรกอ่า..."

เรื่องห้องซักผ้า
"ทำไมแฟบตูมันหมดเร็วจังวะ ไม่ได้ซักผ้ามาสามอาทิตย์ ทำไมแฟบ กะน้ำยาปรับผ้านุ่มมันลดฮวบอย่างนี้"
ว่าแล้วก็ต้องเก็บขึ้นมาไว้บนห้อง

เรื่องห้องครัว
"ทำไมคนจีนมันต้องมาแย่งใช้ตะเกียบเราด้วยวะ ตะเกียบมันก็มี ทำไมมันไม่ใช้ เวลาเราจะใช้ ตะเกียบก็อยู่กับมันตลอดเวลา"
ว่าแล้วก็ต้องเก็บเข้ามาไว้ในห้อง

ช้อนส้อม จานชาม ก็วางไว้ให้ใช้ด้วยกันได้ในห้องครัวนั่นแหละ แต่มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขรั่บพี่น้อง
หายยยยยยยย ไปปปปปปปป ไหนนนนนนนนนนนนน หมดดดดดดดดดดด เลยยยยยยยยยยย วะ
คือเพื่อนมันเอาไปใช้ บางคนก็มาจากชั้นเดียวกัน
บางคนก็มาจากชั้นบน บนนั้น บนโน้นนนนนนน
แล้วพอมันเอาไปใช้นานๆๆ มันก็เลยนึกว่าเป็นของมัน จะไปไล่ตามหาตามห้องก็ไม่ได้สะด้วย น่าเกลียด
เฮ้อ จะเก็บทุกอย่างไว้ในห้องก็ไม่ไหว ต้องหยิบเข้าหยิบออก
"ทำไมมันใช้แล้วไม่รู้จักล้างเอามาคืนว้าาาาาา"

สรุป. นี่ตูจุกจิกป่าวเนี่ย...

Friday, November 2, 2007

Ph.D. Student ไม่ใช่พระเจ้า และไม่ใกล้เคียง

ตามชื่อบล็อคขรั่บ...
จบข่าว



เหอๆๆ ล้อเล่น...
ก็ตั้งใจจะมาบ่น เอ้ย มาเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกการเรียน...
อันที่จริง การที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ph.d student นั้นไม่ได้โก้เก๋อะไร ดังที่เคยได้ปรากฎไว้ในบล็อคก่อนหน้า (นานแล้ว) ว่า
Ph.d = slave and pain
ไม่มีข้อความไหนเกินจริงเลย ในกรณีของพ้ม
...ใช่แล้วในกรณีของผม ไม่ใช่ของนาย ก. นาย ข.
การทำงานวิจัย ความยากง่าย ก็ขึ้นอยู่กับขอบเขต วัตถุประสงค์ของงานส่วนหนึ่ง
ขึ้นกับพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในศาสตร์ที่วิจัย ก็อีกส่วนหนึ่ง
เมื่อการทำงานวิจัยนั้นมาอยู่ในรูปของการศึกษาปริญญาเอก ความยาก หรือง่าย
ยังขึ้นอยู่กับ กรอบเวลา อาจารย์ที่ปรึกษา และ คณะลูกขุนผู้ตัดสินความชอบขั่วดีของตัวงานวิจัยที่ผู้ศึกษาได้ทำมาอีกด้วย
ดังนั้นการทำปริญญาเอก บางคนก็ว่าง่าย บางคนก็ว่ายาก เพราะการทำป.เอกนั้น ไม่สามารถชี้วัดเป็นหน่วยจำเพาะได้
นอกจากนั้น ตนก็ไม่ได้เป้นผู้ชี้ชะตาแห่งชีวิตตนแต่ผู้เดียว
แต่เกิดจากปัจจัยรายล้อมที่บางครั้งก็สุดจะบังคับไหว

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ตนก็เป็นส่วนประกอบสำคัญยิ่งยวดในกระบวนการนี้

แต่ก็นั้นแหละ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ นักเรียนป.เอก ก็ยังคงเป็น "นักเรียน" และยังคงเป็น "มนุษย์" ธรรมดาอยู่นั่นเอง
ซึ่งอาจจะอุปาทาน เอ้ย สมาทาน...เอ้ย หนุมาน...เอ้ย (พอได้แล้ว (ย้ากกก))
อนุมานได้ว่า ด็อกเตอร์นั้น ก็ไม่ได้วิเศษไปกว่าเด็กปวช. แต่อย่างใด
มุนษย์ก็คือมนุษย์ มีดี มีชั่ว มีอด มีกิน มีน้ำอดน้ำทน มีความรอบคอบ แตกต่างกันไป
แต่เมื่อมนุษย์ถูกขัดเกลาด้วยกระบวนการที่ต่างกัน จึงทำให้มนุษย์มีความ"ต่าง" แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า "วิเศษ"
และความต่างนั้น ก็ใช่ว่าจะดี เสมอไป (เช่นนี้แล)