Saturday, June 19, 2010

Pflaster: a song by Ich und Ich

I don't know why like this song nor what is it about on the lyric.
I just heard it from radio and of course I have no idea what is the name of this song.
Until yesterday, I was busying with my channel of youtube (which is very new also) and I just... hey what is the name of that song, the song I like.

I tried to listen to any song in German name pop up in the 50 songs chart of eldoradio luxembourg but failed. Arfffff, it must be so long ago that it was in the chart, maybe last year...
I was sooooooooo bored until Ayuth help me to find it.
And we did it!!!

At first he point me to Ich und Ich, a german band, but with a wrong song. Then the song just reveal itself on youtube.

Now I have it on my "ZLeon's 5xLike" playlist. If you like to listen and watch just go there 'TheZLeon'

I was trying to sing it all day long without success. Well I guess it's not bad to sing some block already ;p

Pflaster

Ich hatte schon längst keine Hoffnung mehr
Doch jemand hat dich geschickt, von irgendwo her
Du hast mich gefunden,
in der letzten Sekunde.

Ich wusste nicht mehr genau was zählt
Nur: es geht nicht mehr weiter, wenn die Liebe fehlt
Du hast mich gefunden,
in der letzten Sekunde.

Du bist das Pflaster für meine Seele
Wenn ich mich nachts im Dunkeln quäle
Es tobt der Hass, da vor meinem Fenster
Du bist der Kompass wenn ich mich verlier’,
du legst dich zu mir wann immer ich frier’
Im tiefen Tal wenn ich dich rufe, bist du längst da.

Ich hatte schon längst den Faden verloren,
es fühlte sich an wie umsonst geboren,
ich hab dich gefunden,
in der letzten Sekunde.

Und jetzt die Gewissheit, die mir keiner nimmt,
wir waren von Anfang an füreinander bestimmt,
wir haben uns gefunden,
in der letzten Sekunde.

Bevor du kamst war ich ein Zombie,
gefangen in der Dunkelheit,
du holtest mich aus meinem Käfig,
dein heißes Herz hat mich befreit.


and the translation in English...

Plaster

I had long since no hope anymore
But someone has sent you, from somewhere
You have found me
In the last second

I did not know anymore what exactly counts
Only: It does not go on anymore when love is missing
You have found me
In the last second

You are the plaster for my soul
When I torment myself in the dark at night
Hatred is raging outside in front of my window
You are the compass when I lose myself
You lie down next to me anytime I feel cold
In the deep valley when I call you, you're long since there

I'd long since already lost the thread
It felt like I'd been born in vain
I have found you
In the last second

And now the certainity which nobody can take from me
We were right from the beginning destined for each other
We have found each other
In the last second

Before you came I was a zombie
Caught in the dark
You got me out of my cage
Your warm heart has freed me

Thanks to lyricstranslate.com for the lyric and the translation ;-)

Thursday, June 17, 2010

สองวันนั้นที่ฉันขายอาหาร (1)

เดือนเมษายนที่ผ่านมา มีโอกาสลงมือ "ทดลอง" ขายอาหารไทยที่ลักเซมเบิร์กนี่แหละ ถึงจะไม่สามารถทำต่อได้ด้วยเหตุผลบางประการซึ่งจะเล่าต่อไปในบล็อกวันนี้ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีในการพูดคุยกับทั้ง "ลูกค้า" ซึ่งเป็นเพื่อนของเราเอง และ "ผู้ร่วมงาน" ซึ่งเป็นแม่ของเพื่อน
ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่า เราอยากทำร้านอาหารมาได้สองปีแล้ว เรียกได้ว่าพอเริ่มอยู่ที่นี่ได้อย่างลงตัวแล้ว เริ่มทำอาหารเป็น เราก็รู้สึกอยากเรียนทำอาหารเพิ่มเติม อยากให้คนชิมอาหารของเรา และชม(ด้วยนะ) ว่าอร่อย

ความอยากเปิดร้านอาหารเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆตามรสมือที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เทคนิคหลากหลายมาจากการค้นหาข้อมูล ทั้งจากพ่อแม่เราเอง น้องเอิร์ธ อินเตอร์เน็ต จากแม่เพื่อนซึ่งต่อมาได้ลองร่วมงานกันที่ว่า และจากคุณย่า (โบ๊มี่--ที่เราเคยบล็อกไว้) จนวันนึงเราก็นั่งคิดเล่นๆกับเพื่อนว่า ถ้าเราทำร้านอาหาร ต้นทุน ราคาอาหาร ความยากง่ายจะเป็นอย่างไร

เราก็พบคำตอบในใจว่า "เฮ้ย เราชอบที่จะทำร้านอาหาร และเราน่าจะทำได้นะ" แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า "เราไม่มีเวลาพอที่จะเรียนไปด้วย และเปิดร้านอาหารได้ด้วยแรงหลักจากตัวเราเอง" เรื่องของกำลังทรัพย์นั้นยังไม่ค่อยกังวลเท่าไร แต่เรื่องของผู้ร่วมงานต่างหากที่หนักใจมากที่สุด

เราจะหาใครหนอที่ทำอาหารอร่อย ในแบบที่เราพอใจ และเราไว้ใจได้... หนทางดูมืดมนหากเราไม่ใช่คนลงมือเอง

19 เมษายน 2010 อยู่ดีๆก็คุยกับเพื่อน และแม่เพื่อนขึ้นมาเรื่องการเปิดร้านอาหาร ในขณะที่แม่เพื่อนนั้นเพิ่งเลิกกิจการร้านขายเสื้อผ้าเด็กและชุดชั้นใน บวกกับความเป็นแม่ครัว(ในครอบครัวตัวเอง)ที่ทำอาหารใช้ได้เลยทีเดียว เราจึงคิดกันว่าไม่เลวที่จะลองเปิดร้านอาหารดู โดยในตอนแรก เราก็ออกไอเดียว่า ให้ทำบริการส่งอาหารกลางวันก่อน หรือ lunch box นั่นเอง โดยอาหารจะต้องถูกสั่งล่วงหน้าหนึ่งวัน พอเที่ยงก็นำมาส่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อเป็นการลองตลาด ความพึงพอใจในรสชาติ ปริมาณ รวมถึงจะได้คะเนถึงลักษณะการทำงาน และความพร้อมของผู้ร่วมงานในการทำธุรกิจนี้ไปด้วย

ต้องเกริ่นกันอีกหน่อยว่า คุณแม่เพื่อนนั้นสามารถลงหุ้นได้แค่ หนึ่งหมื่นยูโร ซึ่งถือว่าน้อยมากในการทำธุรกิจที่นี่ ดังนั้นหุ้นใหญ่ก็ต้องเป็นตัวข้าพเจ้าและตัวเพื่อน เรื่องหนักที่แม่เพื่อนคือการเข้าครัว ดูแลอาหารทั้งหมด และการส่งด้วย เราจะเป็นคนหาลูกค้าและมาเก็ตติ้ง รวมถึงการทำBusiness planing ทั้งหมดจะทำคู่กับเพื่อนด้วย ลูกค้าหลักในช่วงต้นของการทดลองก็คือเพื่อนของข้าพเจ้าเอง ส่วนใหญ่เพื่อนๆติดใจในฝีมือการทำอาหารของเราอยู่แล้ว (ไม่ได้แกล้งชมตัวเองนะ มันติดใจกันจริงๆ) และก็เคยแซวกันเล่นๆมาหลายครั้งว่า เราเปิดร้านอาหารได้ ทำให้เรามั่นใจว่า ถ้าเราจะทำการทดลองกับพวกมัน มันก็ยินดีแน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าเราก็มั่นใจในฝีมือทำอาหารของคุณแม่เพื่อนด้วยว่าทำอร่อยไม่ด้อยไปกว่าเราแน่นอน ถึงแม้ว่าบางรายการเราจะมีรายละเอียดปลีกย่อยด้านความชอบที่ต่างกัน แต่โดยรวมแล้วแม่เพื่อนสามารถทำอาหารได้อร่อยกว่า และที่สำคัญเร็วกว่าเราทำเสียอีก

หลังจากพูดคุยกันในหลักการคร่าวๆ เราก็คุยกันถึงเรื่องรายการอาหาร และราคาของอาหารที่เราจะ "ทดลอง" ในช่วงแรกนี้ การพูดคุยกันในวันนั้นเป็นแบบสบายๆ จนเราเองก็นึกห่วงอยู่เหมือนกันว่า เอ...จะทำธุรกิจ ที่เป็นธุรกิจจริงจังกันได้ไหมหนอ... แต่ก็เอาละ คิดว่าเพราะเป็นการพูดคุย และจะลงมือทดลองอย่างง่ายครั้งแรก ครั้งต่อไปหรือเมื่อเริ่มจริงจังแล้วก็คงจะดีขึ้นเองน่า (ซึ่งคิดผิดจริงๆเล้ย)

ผลสรุปวันนั้นคือเราจะทำอาหารประมาณสี่อย่างเท่านั้น ก็คือข้าวผัดไก่ ข้าวผัดกุ้ง แกงไก่ราดข้าว และปอเปี๊ยะ ราคาแม่เพื่อนก็ว่าให้เรากะเอาเอง (ตะหงิดตั้งแต่ตรงนี้ละ ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น)

กลับมาจากการพูดคุยตื่นเต้นปนกังวลเล็กน้อย เนื่องจากการทดลองนี้จะว่าไปก็ยังผิดกฏหมายอยู่เพราะเรายังไม่มีใบอนุญาติเปิดร้านอาหาร แต่เรากำลังจะเสนอขายอาหาร(เก็บตังค์จริงๆ) ดังนั้นเรากับเพื่อนก็รีบเร่งติดต่อ Chambre de Commerce เพื่อทำเอกสารยื่นประกอบการขออนุญาตทำธุรกิจอาหารแบบส่ง (delivery)

Business Plan ถูกร่างขึ้นโดยรวดเร็ว รายละเอียดที่มากมายทำให้เราต้องคิดถึงหลากหลายประเด็นที่เราไม่เคยคิดถึงมาก่อน มันมีความละเอียดอ่อนมากมายในแผนงานที่เราค่อยๆเขียนขึ้น(แต่อย่างรวดเร็ว) อย่างไรก็ดี แพลนงานต้องชะงักที่รายละเอียดต้นทุน เนื่องจากไม่มีใครในกลุ่มเราเคยเปิดร้านอาหารมาก่อน...

20 เมษายน 2010 เราเอาแนวความคิดไปลองคุยกับเพื่อนๆ ปรากฏว่าทุกคนตื่นเต้นไปกับเรา และอยากลองทานอาหารของเรากันใหญ่ ดังนั้นเราจึงกลับมาทำรายการอาหารคร่าวอย่างรวดเร็วตามนี้





ฉันกำลังทำอะไรอยู่

"รักในสิ่งที่ทำ แล้วจะทำมันได้ดี"

"ถ้าไม่รักในสิ่งที่ทำ ทำไปมันก็ฝืน"

ตอนนี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่...

>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>

เขียนทีสิส กับรันผลอย่างบ้าคลั่งกับคลัสเตอร์ไง ไอ้บ้า ถามมาได้


Monday, June 14, 2010

ทำไมไม่มีสอนใน...โรงเรียน มหาวิทยาลัย

เมื่อวาน @sugree บ่นหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน และสิ่งที่ได้ใช้ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

เท่าที่จำความได้ พวกเพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนด้วยกันที่ IT, KMUTT ก็เคยบ่นเรื่องนี้ โดยเฉพาะกับวิชา math, algorithm...
วันนั้นเราเองก็ได้แต่นั่งฟัง เพราะว่าไอ้ที่เค้าพูดบ่นๆกันนั้น มันหน้าตาเป็นยังไง เอาไปทำอะไร ก็ยังไม่รู้เรื่องเลย

เวลาผ่านไป เคยพูดคุยกับรุ่นพี่อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ แกก็บอกว่า บางสิ่งบางอย่างที่ถามกันว่าเรียนไปทำไม ไม่เห็นได้ใช้เลยนั้น เหตุผลก็คือ คุณยังไม่ต้องไปแก้ปัญหาที่ต้องใช้ระดับความรู้เหล่านั้น ทั้งนี้ไม่ได้บอกว่ามันระดับความรู้ความเข้าใจในเรื่องพวกนี้มันสูงส่ง หรือต่ำต้อย
แต่กำลังบอกว่า ปัญหาที่ต้องให้ใช้ความรู้เหล่านั้นมันมีอยู่ เพียงแต่คุณอาจจะไม่ได้เวียนไปเจอมันง่ายๆเท่านั้นเอง

แล้วก็วนกลับมาที่คำถามเดิมว่า ในเมื่อไม่ได้ใช้บ่อย แล้วจะเรียนไปทำ(แป๊ะ)อะไร
ขอถามกลับว่า ถ้าคุณไม่เรียนความรู้พื้นฐาน คุณจะเข้าใจทฤษฎีที่มันใหญ่ขึ้น ที่มีรากฐานมาจากหลายๆความรู้พื้นฐานรวมกันได้อย่างถ่องแท้หรือไม่

อนึ่ง...ปัญหาที่ว่า การเรียนในห้องเรียนนั้นไม่ครอบคลุมสิ่งที่เกิดในทางปฎิบัติ ตัวเรากลับมองว่า โลกนี้กว้างใหญ่เหลือเกิน การที่จะรวบรวมทุกสิ่งอย่างไว้ในห้องเรียนนั้น อาจเรียกว่าเป็นไปไม่ได้
สิ่งที่เราควรมุ่งเน้นมากกว่าคือ สร้างเสริมประสบการณ์ในการเรียนรู้ โดยอาศัยการเรียนทฤษฎีพื้นฐานแล้วลองต่อยอดความคิดไปสู่สิ่งอื่นๆให้เป็น หรือมองสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า แล้วทำการย้อนกลับเพื่อค้นหาหลักการพื้นฐานของสิ่งเหล่านั้นให้ได้

และนั่นก็คือหัวใจของการเรียนรู้

อย่างไรก็ดี สิ่งที่คุณ @sugree กล่าวไว้ ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด หากมีการเรียนการสอนสิ่งที่นักคอมพิวเตอร์ทั้งหลายควรทราบและทำเป็นได้ทันทีหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยได้ก็คงจะดี
แต่ส่วนตัวก็ยังมองไม่เห็นว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เนื้อหาสาระมันกว้างใหญ่เหลือเกิน...

สิ่งสำคัญที่อยากจะเน้นก็คือ การเรียนในห้องเรียน เราเรียน เพื่อเพิ่มทักษะ "การเรียนรู้" ให้เป็น ตัวบทความรู้กลับกลายเป็นเรื่องรองไป เมื่อเราเข้าใจกลไกการเรียนรู้ แม้ไม่รู้ในเรื่องบางเรื่องมาก่อน แต่เราก็สามารถเรียนรู้ได้เอง

หยุด / stop: at you

link to listen

Friday, June 11, 2010

เธอทั้งนั้น

"For all whom I love and for all who think of me"
"แด่ทุกคนที่เรามีความรู้สึกดีๆให้ และทุกคนที่มีความรู้สึกดีๆกับตัวเรา"
^_^
http://www.youtube.com/watch?v=cU71aQ36yVI&feature=related
http://www.dseason.com/coolsong/coolsong_play.php?id=3821

รู้ไหมว่ามันดียังไง และรู้ไหมว่าสุขใจเพียงใด
รู้ไหมว่าชีวิตเก่าๆ ของฉันนั้นเปลี่ยนไปเท่าไหร่
รู้ไหมว่าก่อนจะเจอเธอ รู้ไหมฉันเคยเป็นยังไง
รู้ไหมการที่ได้เจอเธอนั้นช่างยิ่งใหญ่สักเท่าไหร่

เธอ...เธอทั้งนั้นที่ทำ ให้ช่วงชีวิตของฉันน่าจดจำ จนฉันได้เจอเธอ

โลกที่เคยมองดูซึมเซา โลกที่มีแต่ความว่างเปล่า
ฟ้าทึมๆ และวันเศร้าๆ ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ได้

เธอ...เธอทั้งนั้นที่ทำ ให้ช่วงชีวิตของฉันน่าจดจำ จนฉันได้เจอเธอ

ขอบคุณสวงสวรรค์ ให้เราได้เจอะกัน
ขอบคุณคนๆ นั้น ที่ทำให้ฉันได้พบเธอ
ขอบคุณทุกเรื่องราว ต้นเหตุที่ในวันนี้ฉันนั้นได้เจอ...เธอ...สุดที่รัก

รู้ไหมว่ามันดียังไง และรู้ไหมว่าสุขใจเพียงใด
รู้ไหมว่าชีวิตเก่าๆ ของฉันนั้นเปลี่ยนไปเท่าไหร่
รู้ไหมว่าก่อนจะเจอเธอ รู้ไหมฉันเคยเป็นยังไง
รู้ไหมการที่ได้เจอเธอนั้นช่างยิ่งใหญ่สักเท่าไหร่

เธอ...เธอทั้งนั้นที่ทำ ให้ช่วงชีวิตของฉันน่าจดจำ จนฉันได้เจอเธอ

ขอบคุณสวงสวรรค์ ให้เราได้เจอะกัน
ขอบคุณคนๆ นั้น ที่ทำให้ฉันได้พบเธอ
ขอบคุณทุกเรื่องราว ต้นเหตุที่ในวันนี้ฉันนั้นได้เจอ...เธอ...

ขอบคุณสวงสวรรค์ ให้เราได้เจอะกัน
ขอบคุณคนๆ นั้น ที่ทำให้ฉันได้พบเธอ
ขอบคุณทุกเรื่องราว ต้นเหตุที่ในวันนี้ฉันนั้นได้เจอ...เธอ...สุดที่รัก

Thursday, June 3, 2010

Odosketch

สืบเนื่องจากลองเข้าไปดูเวปที่คุณวิภว์ แนะนำไว้ในทวิตเตอร์
แล้วก็เลยมือบอนลองเล่น อันนี้เป็นภาพแรกที่ลองเล่น
ส่วนใหญ่ภาพก็จะน่ารักๆเต็มไปหมด มีคนที่มีฝีมือเข้ามาเล่นกันไว้มากมาย สนุกดี
เหมาะสำหรับคนชอบระบายอารมณ์กับรูปอย่างยิ่ง อิอิ
ปล. ใช้ แฟลช จ๊ะ

แนะนำเว็บน่ารักๆ อีกสักครั้งครับ เว็บนี้เต็มไปด้วยภาพสวยๆ นะ http://www.sketch.odopod.com/



After the first try, may I present "myMe" :D:D:D