Thursday, June 17, 2010

สองวันนั้นที่ฉันขายอาหาร (1)

เดือนเมษายนที่ผ่านมา มีโอกาสลงมือ "ทดลอง" ขายอาหารไทยที่ลักเซมเบิร์กนี่แหละ ถึงจะไม่สามารถทำต่อได้ด้วยเหตุผลบางประการซึ่งจะเล่าต่อไปในบล็อกวันนี้ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีในการพูดคุยกับทั้ง "ลูกค้า" ซึ่งเป็นเพื่อนของเราเอง และ "ผู้ร่วมงาน" ซึ่งเป็นแม่ของเพื่อน
ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่า เราอยากทำร้านอาหารมาได้สองปีแล้ว เรียกได้ว่าพอเริ่มอยู่ที่นี่ได้อย่างลงตัวแล้ว เริ่มทำอาหารเป็น เราก็รู้สึกอยากเรียนทำอาหารเพิ่มเติม อยากให้คนชิมอาหารของเรา และชม(ด้วยนะ) ว่าอร่อย

ความอยากเปิดร้านอาหารเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆตามรสมือที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เทคนิคหลากหลายมาจากการค้นหาข้อมูล ทั้งจากพ่อแม่เราเอง น้องเอิร์ธ อินเตอร์เน็ต จากแม่เพื่อนซึ่งต่อมาได้ลองร่วมงานกันที่ว่า และจากคุณย่า (โบ๊มี่--ที่เราเคยบล็อกไว้) จนวันนึงเราก็นั่งคิดเล่นๆกับเพื่อนว่า ถ้าเราทำร้านอาหาร ต้นทุน ราคาอาหาร ความยากง่ายจะเป็นอย่างไร

เราก็พบคำตอบในใจว่า "เฮ้ย เราชอบที่จะทำร้านอาหาร และเราน่าจะทำได้นะ" แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า "เราไม่มีเวลาพอที่จะเรียนไปด้วย และเปิดร้านอาหารได้ด้วยแรงหลักจากตัวเราเอง" เรื่องของกำลังทรัพย์นั้นยังไม่ค่อยกังวลเท่าไร แต่เรื่องของผู้ร่วมงานต่างหากที่หนักใจมากที่สุด

เราจะหาใครหนอที่ทำอาหารอร่อย ในแบบที่เราพอใจ และเราไว้ใจได้... หนทางดูมืดมนหากเราไม่ใช่คนลงมือเอง

19 เมษายน 2010 อยู่ดีๆก็คุยกับเพื่อน และแม่เพื่อนขึ้นมาเรื่องการเปิดร้านอาหาร ในขณะที่แม่เพื่อนนั้นเพิ่งเลิกกิจการร้านขายเสื้อผ้าเด็กและชุดชั้นใน บวกกับความเป็นแม่ครัว(ในครอบครัวตัวเอง)ที่ทำอาหารใช้ได้เลยทีเดียว เราจึงคิดกันว่าไม่เลวที่จะลองเปิดร้านอาหารดู โดยในตอนแรก เราก็ออกไอเดียว่า ให้ทำบริการส่งอาหารกลางวันก่อน หรือ lunch box นั่นเอง โดยอาหารจะต้องถูกสั่งล่วงหน้าหนึ่งวัน พอเที่ยงก็นำมาส่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อเป็นการลองตลาด ความพึงพอใจในรสชาติ ปริมาณ รวมถึงจะได้คะเนถึงลักษณะการทำงาน และความพร้อมของผู้ร่วมงานในการทำธุรกิจนี้ไปด้วย

ต้องเกริ่นกันอีกหน่อยว่า คุณแม่เพื่อนนั้นสามารถลงหุ้นได้แค่ หนึ่งหมื่นยูโร ซึ่งถือว่าน้อยมากในการทำธุรกิจที่นี่ ดังนั้นหุ้นใหญ่ก็ต้องเป็นตัวข้าพเจ้าและตัวเพื่อน เรื่องหนักที่แม่เพื่อนคือการเข้าครัว ดูแลอาหารทั้งหมด และการส่งด้วย เราจะเป็นคนหาลูกค้าและมาเก็ตติ้ง รวมถึงการทำBusiness planing ทั้งหมดจะทำคู่กับเพื่อนด้วย ลูกค้าหลักในช่วงต้นของการทดลองก็คือเพื่อนของข้าพเจ้าเอง ส่วนใหญ่เพื่อนๆติดใจในฝีมือการทำอาหารของเราอยู่แล้ว (ไม่ได้แกล้งชมตัวเองนะ มันติดใจกันจริงๆ) และก็เคยแซวกันเล่นๆมาหลายครั้งว่า เราเปิดร้านอาหารได้ ทำให้เรามั่นใจว่า ถ้าเราจะทำการทดลองกับพวกมัน มันก็ยินดีแน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าเราก็มั่นใจในฝีมือทำอาหารของคุณแม่เพื่อนด้วยว่าทำอร่อยไม่ด้อยไปกว่าเราแน่นอน ถึงแม้ว่าบางรายการเราจะมีรายละเอียดปลีกย่อยด้านความชอบที่ต่างกัน แต่โดยรวมแล้วแม่เพื่อนสามารถทำอาหารได้อร่อยกว่า และที่สำคัญเร็วกว่าเราทำเสียอีก

หลังจากพูดคุยกันในหลักการคร่าวๆ เราก็คุยกันถึงเรื่องรายการอาหาร และราคาของอาหารที่เราจะ "ทดลอง" ในช่วงแรกนี้ การพูดคุยกันในวันนั้นเป็นแบบสบายๆ จนเราเองก็นึกห่วงอยู่เหมือนกันว่า เอ...จะทำธุรกิจ ที่เป็นธุรกิจจริงจังกันได้ไหมหนอ... แต่ก็เอาละ คิดว่าเพราะเป็นการพูดคุย และจะลงมือทดลองอย่างง่ายครั้งแรก ครั้งต่อไปหรือเมื่อเริ่มจริงจังแล้วก็คงจะดีขึ้นเองน่า (ซึ่งคิดผิดจริงๆเล้ย)

ผลสรุปวันนั้นคือเราจะทำอาหารประมาณสี่อย่างเท่านั้น ก็คือข้าวผัดไก่ ข้าวผัดกุ้ง แกงไก่ราดข้าว และปอเปี๊ยะ ราคาแม่เพื่อนก็ว่าให้เรากะเอาเอง (ตะหงิดตั้งแต่ตรงนี้ละ ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น)

กลับมาจากการพูดคุยตื่นเต้นปนกังวลเล็กน้อย เนื่องจากการทดลองนี้จะว่าไปก็ยังผิดกฏหมายอยู่เพราะเรายังไม่มีใบอนุญาติเปิดร้านอาหาร แต่เรากำลังจะเสนอขายอาหาร(เก็บตังค์จริงๆ) ดังนั้นเรากับเพื่อนก็รีบเร่งติดต่อ Chambre de Commerce เพื่อทำเอกสารยื่นประกอบการขออนุญาตทำธุรกิจอาหารแบบส่ง (delivery)

Business Plan ถูกร่างขึ้นโดยรวดเร็ว รายละเอียดที่มากมายทำให้เราต้องคิดถึงหลากหลายประเด็นที่เราไม่เคยคิดถึงมาก่อน มันมีความละเอียดอ่อนมากมายในแผนงานที่เราค่อยๆเขียนขึ้น(แต่อย่างรวดเร็ว) อย่างไรก็ดี แพลนงานต้องชะงักที่รายละเอียดต้นทุน เนื่องจากไม่มีใครในกลุ่มเราเคยเปิดร้านอาหารมาก่อน...

20 เมษายน 2010 เราเอาแนวความคิดไปลองคุยกับเพื่อนๆ ปรากฏว่าทุกคนตื่นเต้นไปกับเรา และอยากลองทานอาหารของเรากันใหญ่ ดังนั้นเราจึงกลับมาทำรายการอาหารคร่าวอย่างรวดเร็วตามนี้





No comments: