Thursday, August 30, 2007

Munich day 4 - St. Michel Kirche

โบถส์อันนี้ประมาณว่าสำคัญตรงที่เป็นที่เก็บพระศพของพวกราชวงศ์ไว้จำนวนมาก ส่วนว่าทำไมถึงต้องมาเก็บที่โบถส์นี้นั้น...
จำไม่ได้ล่ะ
อยู่ห่างจากมาเรียนพลาสไม่ไกลเรียกได้ว่าเดินได้ (สำหรับซี)ภายในก็อย่างที่เห็น อันที่จริง มันพังไปมากมายในช่วงสงครามโลก เสร็จแล้วเค้าก็บูรณมันขึ้นมาใหม่



สำหรับคนที่เป็นกังวลว่าพระศพของบรรดาคนในราชวงศ์จะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ต้องเป็นห่วงเลย
เพราะว่าโลงศพนั้น ภายนอกทำด้วยเหล็กทั้งหมด แถมเชื่อมปิดหมดเลย แข็งแรงจริงๆ
ภาพด้านล่างเป็นภาพของคิง ลุดวิค ด้านหน้าของรูป... เหอๆ โลงศพของแกน่ะสิ
ไม่กล้าถ่ายมาวุ้ยพวก โลงศพ คือตอนเด็กๆเคยดูหนังเรื่องไรนี่จำไม่ได้
จำได้แค่ว่าเป็นแนว โลงแบบเนี้ย เสร็จแล้วมีพวกทำพิธีไรไม่รู้ ไปๆมาๆ ศพก็พยายามออกมาจากโลง เต็มไปหมด เฮ้อ...
จริงๆแค่ทางเข้าก็นะ...

เราไปดูพวกเพดาน ศิลป ปฎิมากรรมไรอย่างอื่นกันบ้างดีกว่า
ด้านนอกเป็นภาพ... ชื่อไรวะไอ้คนเนี่ย นั่นแหละ กำลังจะแทงเดวิล
เท่ห์ชะมัด

ด้านนอกโบถส์แบบชัดๆอีกที

Wednesday, August 29, 2007

Munich day 4 - Schneider weisse

นึกว่าใกล้จะจบสำหรับมิวนิค เพราะนี่ก็ปาเข้าไปวันที่สามแล้ว
แต่พอนั่งดูรูป ทำไมมันเยอะงี้วะ
เอ้าเพื่อไม่ให้เสียเวลา มาต่อกันเลย
หลังจากออกจากสนามอัลลิอันซ์ เราก็ตรงกลับเข้าเมืองเพื่อหาไรกินกัน
ผ่านมาเรียนพลาสอีกแระ
เจอร้านดอกไม้ ฮึ่มสวยเจงๆ เรายืนชื่นชมกันสักพัก ก็จรลีไปต่อดีกว่า
ข้างบนเป็นโบถส์อะไรสักอย่าง ว่ากินเสร็จจะเข้าไปดู เสร็จแล้วก็ไม่ได้เข้าไป
ด้านข้างฝั่งตรงกันข้ามของโบถส์เป็นร้านนี้ (ตามภาพด้านล่าง) เห็นชื่อเบียร์ เฮ้ย ยังไม่ได้ลองนี่หว่า.... จะไปเหลือเหรอครับ
ก็เดินเข้าร้านกันตามระเบียบ
ท่าทางจะเป็นร้านเก่า เพราะเครื่องใช้ไม้สอยเป็นไม้แบบว่ามันเชีย บรรยากาศภายในร้านดูดี นั่งสบาย
แถมเบียร์ก็อร่อย คือเบียร์ส่วนใหญ่ที่ว่าอร่อยสำหรับเราคือ กลิ่นดี เป็นเบียร์ ไม่ใช่น้ำเปล่า ดื่มแล้วมันต้องมีรสหลงเหลือกันบ้าง
ถ้าลงคอแล้วรสหาย คล้ายๆดื่มน้ำเปล่า นั่นไม่ใช่เบียร์อร่อยสำหรับผมคร้าบบบบ
ปล. ในรูปด้านล่างเป็นดาร์คเบียร์
ปล2. เนื่องจากดาร์คเบียร์หากินยากหน่อยในไทย ทริปนี้เลยขอซัดแต่เบียร์ดำ
งงล่ะสิ ด้านล่างเป็นเหมือนน้ำจิ้ม แบบสูตรของร้าน อร่อยมั่กๆ คือแนวมัสตาร์ดทำเอง ปรุงรสด้วย... ก็บอกแล้วว่าสูตรของร้านจะรู้ไหมล่ะเนี่ย ว่ามันทำยังไง
และแล้วเราก็มาชมอาหารกันซักหน่อย อันนี้หน้าตาเหมือนหอยทอด แต่เป็นเนื้อตุ๋นทอดต่างหาก รสชาติก็จืดๆหน่อย ไม่จัดจ้านอย่างหอยทอด
เห็นแล้วมันก็คันมือ ไม่น่าจะทำยาก ว่าแล้วอาทิตย์ที่แล้วก็เลยลองทำกิน อร่อยใช้ได้เลย แต่ลืมถ่ายรูปไว้ หึๆ แบบว่ามันหิว...
จานล่างล่ะถูกใจคนกินยิ่งนัก เนื่องจากเป็นคนชอบกินไส้กรอก (มาก) (ถึงมากที่สุด) เฮ้อ อร่อย
ร้านนี้มีสองชั้น ชั้นบน ก็มีที่นั่งแบบสำหรับจอง มากันเป็นกลุ่ม บรรยากาศดีมากกกกกกกกก จริงๆมีหลายส่วนที่เป้นแบบนี้ แต่ว่าถ่ายมาอันเดียว
คือมันเมาน่ะ...
นับตั้งแต่ออกจากร้านนี้ไป รูปที่ถ่ายส่วนใหญ่ภาพไหวตลอด... ผมเมาคร้าบบบบบ เฮ้อ
ออกมาจากร้านแหงนมองพระอาทิตย์ อ้าวหายไปไหน....
อ้อ อยู่หลังยอดโบถส์
...จึ๋ย ไม่ได้หนักขนาดนั้นจ้า

Thursday, August 23, 2007

Munich day 4 - Allianz Arena

ตื่นเช้ามา สถานที่แรกตามแพลนก็คือ... แต่นแตนแต๊นนนนนน
สนามของชาวบาเยิร์นมิวนิคเขาแล

ก็นั่งรถไฟใต้ดินไปที่สถานี Frotmanning เดินกลางแดดเปรี้ยงๆสักเกือบสิบนาทีได้ โอ้ย ใหญ่ว่ะ ใต้ดินเป็นที่จอดรถทั้งหมดน้าฮ้า...






อูย ถ้าได้นั่งตรงนั้นตอนแข่งจริงๆ คงมันส์น่าดูน้า...






โบ๊มี่ โบ๊ปี่ -- Grandma Grandpa (ตอนแรก)

ริ้วรอยบนใบหน้าของโบ๊มี่ และโบ๊ปี่ ไม่ได้สื่อถึงแค่ความแก่ชรา
แต่กลับเป็นเหมือนรอยจารึกที่บ่งบอกกาลเวลา ความสุข ชีวิต ความปรารถนาที่ผ่านมาชั่วเวลานึง...
หลังจากเข้านั่งในร้านอาหารจีนที่ ลาโฮเช็ต (Larochette) เราก็เริ่มพูดคุยด้วยเรื่องต่างๆ
ตั้งแต่เมนูอาหาร ภาษา สิ่งของรอบตัว เรื่องเรียน ไวน์ กาแฟ พื้นที่โล่งด้านนอก ไปจนถึงเรื่องแมว

โบ๊มี่จะสั่งเป็ดมากิน ถามเราว่ากินไหม ที่นี่อร่อยนะ เราก็ว่า
ซี. "อ่ะ ไม่กินคะ" (ด้วยภาษาอังกิด)
โบ๊มี่. "อ้าวทำไมล่ะ ที่นี่อร่อยนะ"
ซี. "เอ่อ ซีชอบมันคะ น่ารักดี ให้อาหารมันด้วย"
โบ๊มี่. หัวเราะกร๊าก
โบ๊มี่. "แต่ก่อนนะ ที่บ้านเรามีวัวสี่ห้าตัว ไว้รีดนม ไว้กินเนื้อ มีหมู มีไก่ มีเป็ด... เรากินมันทั้งนั้นแหละ"
ซี. "คะ ซีรู้ แต่ไม่ชินคะ ปกติอยู่แต่ในเมือง ให้อาหารมันตามพาร์ค จะกิน ก็ซื้อที่ตายแล้วคะ"
โบ๊มี่. "มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราเลี้ยงมันก็เพื่อไว้กิน"

โบ๊มี่อายุมากกว่าเจ็ดสิบ แต่ทุกวันนี้แกกับโบ๊ปี่ ช่วยกันทำสวนเล็กๆหลังบ้าน
พื้นที่หลายไร่ ถูกแบ่งขายให้กับเพื่อนบ้านไปไม่น้อย รวมถึงให้เป็นที่สำหรับบ้านของลูกชายแกเอง
ด้วยเหตุว่าแกดูแลกันไม่ไหว
แต่ทุกวันนี้ โบ๊ปี่ก็ยังขับรถตัดหญ้า โบ๊มี่ก็ยังเข้าไปในแปลงผัก ปลูกสลัด ถั่ว มัน หอม ฟักทอง แตงกวา โอ้ยเยอะแยะ

โบ๊มี่. "ซีเข้าไปตัดผักในสวนได้เลยนะ ได้มากเท่าที่ซีต้องการเลย"
โบ๊ปี่. "เราไม่ได้ทำแปลงผักมากมายเพื่อเราแค่สองคน (หมายถึงแค่โบ๊ปี่ และโบ๊มี่) แต่เราทำเผื่อทั้งครอบครัว แต่ครอบครัวก็ไม่ค่อยมากันเท่าไร"

น้ำเสียงเศร้าๆไปหน่อยนึงของโบ๊ปี่ทำเอาเราใจหาย ปกติโบ๊ปี่เป็นคนตลก ออกไปทางกวนตีนก็ว่าได้ ชอบถามคำถามยียวน แกล้งๆๆ
อดีตโบ๊ปี่ทำงานในหน่วยงานราชการด้านกฎหมายภาษี อาจจะเป็นเหตุนี้ ทุกวันนี้โบ๊ปี่ยังคงแต่งตัวดี บางครั้งเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวสามรอบได้ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์

บ้านเกิดของโบ๊ปี่อยู่ทางใต้ ที่เมืองดิฟเฟอดองจ์ (Differdange) ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรม
ในอดีตอุตสาหกรรมเหล็กเจริญรุ่งเรืองยิ่งยวดในลักเซมเบิร์ก และแหล่งแร่ และโรงงานอุตฯที่สำคัญก็อยู่ที่ดิฟเฟอดองจ์

โบ๊มี่. "ครั้งแรกที่เค้ามาที่นี่ (ฮ้อยหลั่น (Reuland)) เค้าไม่อยากกลับไปเลย เค้ามากับเพื่อน ซึ่งเป็นเพื่อนของฉันอีกที"
โบ๊ปี่. "แต่ก็ยังมีญาติๆอยู่ที่นั่น ซีเคยไปหรือยัง"
ซี. "ไปมาสองครั้งแล้วคะ"
โบ๊มี่. "ทุกปีเราจะไปเยี่ยมญาติๆ ไปด้วยกันไหม"
ซี. "ไปคะๆๆๆๆๆ"

ออกจากร้านอาหารจีน เราตรงกลับบ้านโบ๊มี่ โบ๊ปี่
โบ๊มี่. "วันนี้น้องสาวของโบ๊ปี่จะมาหาเรา ยังไงอยู่ทักทายกันก่อนแล้วกันนะ"

แต่ก่อนบ้านของโบ๊มี่ทำด้วยหิน เอามาวางต่อๆกัน แล้วอัดช่องว่างด้วยทราย ตามวิศวกรรมสมัยก่อน (นานมาก)
เดี๋ยวนี้ถูกทำให้แข็งแรงขึ้นแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ หินยังอยู่เหมือนเดิม
หินทำให้เก็บความเย็น แต่ก็ต้านลม เพราะฉะนั้น เข้าบ้านโบ๊มี่ทีไร ก็จะรู้สึกเย้นนนนน เย็น เหมือนเปิดแอร์ไว้ทั้งวันทุกที

Monday, August 20, 2007

Munich day 2 - Part three

เอารูปมาให้ดูกันก่อน เด๋วมาบรรยายเพิ่มนะ

-__-" มาบรรยายเพิ่มนะ แต่จะเข้ามาอ่านกันไหมนี่ คอมเมนต์กันไปซะแระ

ด้านล่างเป็นโรงละคร กับรูปปั้นใครก็ไม่รู้ ว่าจะหาข้อมูลเพิ่ม แต่ยังไม่มีเวลา ต๊ะไว้ก่อนนะ
ส่วนอันนี้หลังจากเดินมา...แป๊ปเดียว หนึ่งในผู้ร่วมขบวนก็เกินอาหารโหยเบียร์ แบบว่าต้องหยุด
เอ้า หยุดก็หยุด กลับมาหยุดที่มาเรียนพลาสอีกแระ ภาพนี้เลยให้ดูบรรยากาศ

เบียร์มาแล้ว ลืมบอกว่าส่วนใหญ่ที่ซีดื่มเป็น ดาร์คเบียร์ทั้งหมด แต่ยี่ห้อนี่มัน ...ดาก... จริงๆ

เคยมีรุ่นพี่คนนึงอยู่ที่บรัสเซลบอกว่า "ฝรั่งนี่มันบ้าเห่อแดด บ้านน๊อก บ้านนอก พอมีแดดหน่อย โผล่ออกมากันใหญ่"
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ...
พระอาทิตย์เริ่มตกดิน แดดแบบนี้ก็ประมาณสองทุ่มได้... จริงๆ ไม่ได้โม้...
ปล. ไอ้ที่ห้อยอยู่นั่นไฟจ๊ะ
ร้านเบียร์ hofbrauhaus ที่เลื่องชื่อ (คำว่า brauhaus = beer house)
เหตุที่เลื่องชื่อคาดว่า ไม่ใช่แค่จากเบียร์ แต่เป็นบรรยากาศภายในร้าน
โอ้... มันช่างคึกคัก ดนตรี การแต่งตัวของสาวๆ แก้วเบียร์ ช่างเหมือนย้อนกลับไปอยู่ในอาณาจักรบาวาเรียนอีกครั้งหนึ่ง
ร้านนี้ใหญ่โตมาก ถ้าคิดเป็นตึกแถวก็น่าจะไม่ต่ำกว่าสิบคูหา คนแน่น หาโต๊ะนั่งไม่ได้
ภายในมีคนจากหลากหลายเชื้อชาติรวมกันอยู่ แต่อย่างนึงที่เหมือนกัน คือ ทุกคนมีแก้วเบียร์ขนาด ครึ่งลิตรอยู่ในมือ...
วันนั้นสรุปว่าไม่ได้นั่งดื่ม เพราะเมากันมาแล้ว ดื่มอีกคงไม่ไหว
"เอ้ย... นี่มันทริปดื่มเบียร์ชัดๆ" ซีพูดกับเพื่อนร่วมเดินทางอีกสองคนก่อนมาถึงที่นี่...

ด้านหน้าร้าน บริเวณที่ตั้งร้านก็เป็นชุมชนเก่า เราต้องเดินลัดเลาะจากถนนใหญ่เข้ามา บริเวณรอบๆก็มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย
ร้านนี้น่าจะดังมากจริงๆ เพราะขนาด ฮาร์ดร็อกต้องมาเปิดแข่งที่ฝั่งตรงข้ามเลยทีเดียว

พระอาทิตย์หายไปในหมู่ตึกแล้ว เหลือแสงสีสวยๆไว้ให้เห็นกัน
ที่นี่เค้ามีรถราง ไอ้สายระโยงระยางนั่นส่วนหนึ่งก็เพื่อจ่ายไฟให้รถราง ส่วนนึงก็เอาไว้ติดไฟให้ถนนไปด้วยในตัว

อ้า... อันนั้นน่าจะเป็น Frauenkirche วันนี้เรายังไม่ได้ไปกัน ต้องพรุ่งนี้แล้วล่ะ คำแปลของ ฟาวเอินเคียช ก็คือ โบถส์ของผู้หญิงของพวกเรา
ภาพนี้แสงสวยดี ตอนนี้ก็สามทุ่มล่ะ ต้องจรลีกลับ หาข้าวกินแล้วก็เข้านอน

Friday, August 17, 2007

Munich day 2 - Part two

ูู^^" คือว่างานยุ่งเลยมาอัพรูปไว้ก่อน มีคอมเมนต์ซะแระ ไวจริงๆน้า...

เอาล่ะมาบรรยายภาพกันดีกว่า
ที่เห็นด้านล่างนี้เป็นโบถส์ Theatinerkirche สไตล์บาโรคดังจะเป็นได้จากหอคอยหลังคาโค้งโดมนั่น กับลวดลายกลมๆม้วนๆด้านข้างภายในเป็นปฎิมากรรมปูนปั้นลอยสูง สวยอย่างที่เห็น

พอออกจากโบถส์ด้านข้างก็เป็นร้านขายเบนซ์ ดูราคาแล้ว เฮ้อ ถูกกว่าบ้านเราเห็นๆ น่าซื้อจัง... แหะๆ พูดไปงั้นแหละ ไม่มีตังค์อยู่ดี
โบถส์นี้อยู่ใกล้กับ Odeonplaz เป็นถนนใหญ่ เป็นจัตุรัสกว้างๆ มีแต่คนขับรถเปิดประทุนมา จนสงสัยว่า ถ้าไม่มีรถเปิดประทุน ขับมาจตุรัสนี้ไม่ได้นะเนี่ย... ฮ่าๆๆ
ฝั่งตรงข้ามร้านเบนซ์มีสตาร์บัคกับ Sotheby ร้านขายของประมูลที่โด่งดัง
เดินเลยสตาร์บัคขึ้นมาทางโบถส์มีประตูสวยๆเป็นทางเข้า พอเข้าไปก็เจอ Hofgarten แปลตรงตัวว่า "สวนดอกไม้"

สวนดอกไม้ตรงนี้ในอดีตเค้ามีไว้ให้พวกราชวงศ์เข้ามาได้เท่านั้น
ตึกนี้อยู่ในสวนดอกไม้ แต่เป็นตึกของรัฐบาล ทำไรซักอย่าง ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าปีกทั้งสองข้างเป็นกระจกหมดเลย สวยดี
อันนี้เป็นทัวร์จักรยาน ที่มิวนิคนี่ไม่น่าเชื่อว่าคนจะคลั่งจักรยานขนาดนี้ เรียกว่าถนนทุกสายมีเลนจักรยาน แล้วคนเดินถนนนี่ต้องระวังจักรยานชนเอานะ
ไม่ว่าจะเป็นที่ชุมชนที่ไหน เป็นได้เห็นจักรยานจอดเป็นแนวยาวๆๆๆๆ เต็มไปหมด ยิ่งตามสถานีรถไฟด้วย... โห เยอะจริงๆ
มองจากในสวนกลับไปที่ Theatikirche
ตอนยืนฟังคนมาร้องโอเปร่าเพื่อโฆษณาซีดีของเค้าเอง เห็นเงาตัวเอง อิอิ
ที่นี่ตลาดมันเปิดจริงๆ ร้องเพลง เล่นดนตรี ไม่ต้องพึ่งบ.ใหญ่ๆ เล่นกันตามถนนนี่ล่ะ แผ่นนึงก็ไม่แพงมาก 10-15 ยูโร

แล้วเดินออกจากสวนดอกไม้ก็มาสะดุดกับอาคารหลังนี้ที่เสียงเพลง Besame mucho เพลงโปรดต้องเดินเข้าไปดูซะหน่อยว่ามันงานไร
นี่ไงแหล่งเสียงเพลงที่ว่า โอ้เล่นกันสดๆ เห็นกันใกล้ๆ มีฟามสุขยิ่งนัก
ไม่ใช่เทศกาลเบียร์ แต่เป็นไวน์แหะ
ด้านนอกอาคารนี้มีเจ้าสิงโตวางอยู่ตามประตูเข้าออกเป็นระยะๆ เห็นคนเดินผ่านไปมาก็ลูบตรงที่เป็นสีทองเหลืองน่ะ เค้าลูบทุกอันด้วยนะ... เอาวะ ลูบมั่ง ลูบทำไมก็ไม่รู้ เหอๆ

ไว้ต่อตอนต่อไปเน้อ