Saturday, April 26, 2008

นี่ตูผิดป่าวเนี่ย

เมื่อวานนี้ ไอ้ที่ไม่สบายมาเกือบอาทิตย์แล้วทำท่าจะหาย กลับยิ่งเป็นหนัก ทั้งจามทั้งไอ มีน้ำมูก
แล้วก็เป็นวันแรกที่มามหาลัยในสัปดาห์ นึกว่าซวยแล้วที่กลับมาไม่สบายมากอีก แต่มีที่ซวยกว่า...

คนไทยคนนึงที่รู้จักกันไม่นาน (ประมาณเดือนนึง เจอกันประมาณสี่ห้าครั้งที่โรงเรียนสอนภาษา) โทรศัพท์มาบอกว่าไม่มีที่ไป โดนสามีตี ก็เลยออกจากบ้านมา...

ไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่องราวมาก่อน แต่เพราะรู้เรื่องมาก่อน ว่าเกิดเหตุแบบนี้หลายครั้งแล้ว แล้วเค้าก็ไม่ยอมไปหาตำรวจ จะด้วยเหตุผลอะไร ไอ้เราก็ไม่ได้ใส่ใจนักในตอนนั้น ที่รู้อีกก็คือ เค้าเคยหนีออกจากบ้านไปค้างที่บ้านคนไทยอีกคนหนึ่ง พี่คนนั้นแกก็ช่วยเหลือดีอยู่ ด้วยเหตุที่แกก็อายุเยอะพอสมควร พอมาครั้งนี้เราก็งงเด่ะ ทำไมมาหาตูวะ ทำไมไม่ไปหาพี่คนนั้น สาวเจ้าตัวต้นเหตุให้เหตุผลทางโทรศัพท์ว่าพี่เค้าปิดมือถือหนีมัน ไม่ยอมช่วยมัน... (งงเป็นไก่ตาแตก) แล้วสาวเจ้าก็คร่ำครวญว่าไม่มีที่ไป...
ไม่รู้จะทำยังไงว้อย ก็ต้องให้มาหาที่มหาลัยก่อน มาพูดจากันก่อน...

พอมาถึง ข้าพเจ้าแนะนำตามนี้
หนึ่ง โทรไปหาพี่ที่สถานฑูตไทยในบรัสเซลก่อน ซีมีเบอร์ 
สอง ไปหาหมอเอาผลการตรวจร่างกายก่อน เพราะถูกตีเป็นจ้ำเบ้อเร้อที่แขนสองจุด เผื่อต้องใช้เป็นหลักฐาน
สาม ไปแจ้งตำรวจ บันทึกเป็นหลักฐาน 
ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน...

ไอ้ที่ข้าพเจ้างงเป็นไก่ตาแตกอีกรอบก็คือ แกไม่อยากหาหมอ ไม่อยากโทรหาสถานฑูต ไม่อยากหาตำรวจ เหตุผลคือ เด๋วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!!!

นี่เรื่องมันยังไม่ใหญ่อีกเหรอวะ...ถึงขนาดหอบข้าวของออกมาหาคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน... แต่ก็โอเคอ่ะนะ นี่มันต่างบ้านต่างเมือง ก็พอเข้าใจ (แต่ทำไมตูฟ่ะ เค้ามีเพื่อนคนไทยอีกเป็นขโยงที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เรียกได้ว่า เวียนกันไปกินข้าวตามบ้านคนโน้นทีคนนี้ทีทุกสัปดาห์ ปล. ตูไม่เคยไปกะเค้าเพราะไม่ชอบสังสรรค์ประเภทแม่บ้านนั่งเม้าอยู่แล้ว)

ข้าพเจ้าไม่ยอม ยังไงก็ต้องไปหาหมอก่อน ไม่รู้ล่ะ... ทีนี้แกเลยบอกว่ามีคลีนิคสำหรับคนมีปัญหากับสามี ไม่ต้องเสียตังค์ โอเค ที่ไหนล่ะ... สาวบอกไม่รู้... เอ้า... รู้แค่อยู่ใกล้ๆที่อยู๋ในนามบัตรนี้... เอ้า... แล้วทำไมไม่ไปล่ะ... ไม่อยากไป... เด๋วเรื่องใหญ่...

ถามไปถามมา ปรากฎว่าสาวเจ้าไปติดต่อกับองค์กรอิสระที่ช่วยเหลือชาวต่างชาติที่ถูกทำร้ายในลักเซมเบิร์ก เค้าจะช่วยโดยสาวไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งค่าทนาย และค่าที่พัก แต่สาวต้องรอถึงวันจันทร์ เพราะคนเดินเรื่องไม่ทำงานวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์

แล้วไอ้คลีนิคที่ว่าก็อยู๋ใกล้กับสำนักงานขององค์กรดังกล่าว ข้าพเจ้าต้องโทรศัพท์ไปถาม ว่าเจ้าคลินิคอยู่ตรงไหนกันแน่ เหตุที่ข้าพเจ้าต้องพูดเพราะสาวเจ้าพูดไม่ได้รู้เรื่องเล้ย...
พอได้คุยกับเจ้าหน้าที่ขององค์กรถึงได้รู้ว่า ขั้นตอนก็คือ
หนึ่ง ไปหาหมอให้ออก หลักฐานการทำร้ายร่างกาย
สอง เอาหลักฐานไปแจ้งตำรวจ ถ้าตำรวจเห็นบาดแผลแล้วว่ารุนแรง สมควรแก่การดำเนินการทันที ตำรวจจะพอสาวไปที่บ้านของสามี ไล่สามีออกจากบ้านและห้ามตามกฎหมายไม่ให้เข้าใกล้สาวเป็นเวลาสิบวันก่อน จากนั้นจะดำเนินคดีต่อไป

ซึ่งสาวไม่อยากให้เกิดเหตุอย่างนั้นเพราะ... แต่น แต่น แต๊น...

กลัวถูกส่งตัวกลับเมืองไทยโดยไม่ได้เงินจากผู้บ่าวแต่อย่างใด

สิ่งที่สาวอยากได้คือ
หนึ่ง ฟ้องหย่า เรียกค่าเสียหาย ได้เงินก้อนไว้ตั้งตัว
สอง ได้สิทธิอยู่ที่นี่ต่อ ทำงานหาเงินต่อไป

แล้วไอ้ที่ถูกทำร้ายร่างกายก็เมื่อสองวันที่แล้ว ถึงมันจะยั่งปูดม่วงอยู่ก็เหอะ

โฮ้ย จะเป็นลม ไอ้เราก็เริ่มทะแม่งๆๆ แต่ก็ยังคิดไรไม่ออก เหมือนโดนตั้นหน้า กว่าจะตัดสินใจโทรหาพี่คนไทยที่เห็นช่วยเหลือสาวอยู่ ก็ฝากเพื่อนเอาตัวสาวกลับหอข้าพเจ้าไปก่อนแล้ว

ฟังความจากพี่ดา... พี่เค้าโมโหมากเลย เค้าโมโห เพราะเค้าแนะนำว่าให้ไปหาหมอ ให้แจ้งความเอาไว้ทันที แต่สาวไม่เคยทำ สาวไม่มีเงิน แต่ไปนั่งดื่มในบาร์ อันนี้ข้าน้อยก็ฉุนเหมือนกัน เพราะสาวแกบอกว่าไม่อยากไปหาหมอ เพราะไม่มีตังค์ เราก็หวังดี วิ่งไปซื้อโน่นนี่กะเอาไว้ที่บ้านให้กินเวลาเราไม่อยู่ (โทรไปหาพี่เค้าตอนไปซื้อของ) ฟังแล้วก็เซ็งเหมือนกัน พี่เค้าก็บอกว่านี่เค้าโทรบอกเพื่อนทุกคนเองว่าไม่ต้องช่วย เค้าช่วยมาทุกทางแล้ว แต่ปัญหาคือสาวเจ้าไม่ยอมทำตัวดีๆ ไม่คิดให้ดีๆ คราวนี้เค้าโกรธแล้วเค้าก็ยังไม่ได้ขอแฟนเค้าให้สาวมาพักที่บ้านด้วย แต่ซีไม่ต้องห่วงเด๋วพี่เค้าจะให้สาวไปพักที่บ้านเค้าเอง

ไอ้เราก็สบายใจหน่อย เพราะหอที่เราอยู่ตามกฎมันก็ให้ใครมาอยู่ด้วยไม่ได้ แล้วเราก็ไม่อยากให้เค้านอนเตียงเดียวกับเราอ่ะนะ ว่ากันตามตรง เตียงมันสำหรับคนเดียวอ่ะ ก็กะให้เค้านอนโซฟาห้องนั่งเล่นแล้วเอาผ้าห่มกับหมอนไปให้ ซึ่งตูก็มีอยู่ชุดเดียวนั่นแหละ...

กาลกลับเป็นว่า สาวโทรมาบอกว่าพี่ดาโทรไปด่า แล้วก็จะไม่ยอมไปอยู่กับพี่ดา เด๋วจะเอาของไปเก็บที่สถานีรถไฟ แล้วหานอนที่อื่น... เอ้า ซะงั้น... เหตุคือไม่อยากฟังเค้าด่า... หยิ่งด้วยแน่ะ แล้วก็พร่ำบอกว่าไม่อยากรบกวนใคร เกรงใจ ซีเลยถามเลยว่า "แล้วตอนนี้อังไม่รบกวนใครได้มั้ย" ...เงียบ พูดแบบจะให้เราบอกว่าไม่รบกวนหรอก อย่างนั้นน่ะ ถึงตอนนี้หงุดหงิดเหมือนกันนะว้อย ซีก็ถามว่าแล้วหาหมอหรือยัง เค้าว่าไม่มีหมอต้องรอพรุ่นี้ อ้าว งั้นทำไมไม่กลับมา สาวบอกเด๋วจะรอคุยกับเพื่อนคนเยอรมันให้เค้าช่วยก่อน อ้าว แล้วจะกลับมากี่โมง สาวบอกอืมไม่รู้แต่ไม่อยากรบกวนใครเลย... วนมาที่เดิมอีกละแล้วซีก็บอกว่าพี่ดาเค้าเป็นห่วง อังไปพักกับพี่เค้าสบายกว่า เค้าดุ เค้าด่า เพราะเค้าห่วง เค้าก็ช่วยมาตั้งเยอะ 

สุดท้ายไม่มีไรดีขึ้น... ซีเลยบอกว่า "เด๋วซีต้องไปทำรายงานอาจจะกลับดึกหรือไม่กลับ อังก็ฝากกุญแจไว้กับเยี่ยน (เพื่อนคนจีน) แล้วกันนะ"

กุญแจประตูหอก็อยู่กับเค้า ของของเค้าก็อยู๋ในห้องเพื่อนซี เมื่อคืนเค้าก็ไม่กลับมาทั้งคืน เพื่อนก็โทรมาว่าไม่กล้านอน ไม่รู้เค้าจะกลับมาเมื่อไร ซีโทรไปก็ไม่รับ ทำไมถึงได้ทำตัวเป็นภาระอย่างนี้เนี่ย ไม่บอกไม่กล่าวไรเลย คนเค้าก็เป็นห่วงนะว้อย แล้วนี่คนเค้าผิดกันหมดเลยใช่ไม๊เนี่ย นี่ตูผิดใช่ไม๊เนี่ย...
 

Wednesday, April 23, 2008

Investing 101: The meaning of compounding

The ability of an asset to generate earnings, which are then reinvested in order to generate their own earnings. In other words, compounding refers to generating earnings from previous earnings. (Also known as compound interest)

Suppose you invest $10,000 into Cory's Tequila Company (ticker: CTC). The first year, the shares rises 20%. Your investment is now worth $12,000. Based on good performance, you hold the stock. In Year 2, the shares appreciate another 20%. Therefore, your $12,000 grows to $14,400. Rather than your shares appreciating an additional $2,000 (20%) like they did in the first year, they appreciate an additional $400, because the $2,000 you gained in the first year grew by 20% too. If you extrapolate the process out, the numbers can start to get very big as your previous earnings start to provide returns. In fact, $10,000 invested at 20% annually for 25 years would grow to nearly $1,000,000 (and that's without adding any money to the investment)!

The power of compounding was said to be deemed the eighth wonder of the world - or so the story goes - by Albert Einstein.

extrapolate: to guess or think about what might happen from information that is already known
deem: to consider or judge something in a particular way

Sunday, April 20, 2008

วันเหงาๆ

วันนี้วันอาทิตย์
มีแดดอ่อนๆ
อยากออกไปขี่จักรยาน
แต่...
ทำไมต้องมาไม่สบายด้วยฟร่ะ
เหงา และ เบื่อ

Saturday, April 19, 2008

investing 101: Introduction

Have you ever wondered how the rich got their wealth and then kept it growing? Do you dream of retiring early (or of being able to retire at all)? Do you know that you should invest, but don't know where to start?

If you answered "yes" to any of the above questions, you've come to the right place. In this tutorial we will cover the practice of investing from the ground up. The world of finance can be extremely intimidating, but we firmly believe that the stock market and greater financial world won't seem so complicated once you learn some of the lingo and major concepts.

We should emphasize, however, that investing isn't a get-rich-quick scheme. Taking control of your personal finances will take work, and, yes, there will be a learning curve. But the rewards will far outweigh the required effort. Contrary to popular belief, you don't have to allow banks, bosses or investment professionals to push your money in directions that you don't understand. After all, no one is in a better position than you are to know what is best for you and your money.

Regardless of your personality type, lifestyle or interests, this tutorial will help you to understand what investing is, what it means and how time earns money through compounding. But it doesn't stop there. This tutorial will also teach you about the building blocks of the investing world and the markets, give you some insight into techniques and strategies and help you think about which investing strategies suit you best. So do yourself a lifelong favor and keep reading.

One last thing: remember: there are no "stupid" questions. If after reading this tutorial you still have unanswered questions, we'd love to hear from you.

ground up:
intimidating: to frighten or threaten someone, usually in order to persuade them to do something that you want them to do
lingo: a type of language that contains a lot of unusual or technical expressions

Friday, April 18, 2008

วันคล้ายวันเกิด (เพื่อน)

วันนี้วันเกิดเพื่อนสนิทที่สุดคนนึง
อยากบอกว่า มีความรู้สึกดีๆมากมายร้อยพัน อยากให้เธอได้ยิน อยากให้เธอเข้าใจ
แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ จะบรรยายมันได้...

ขอให้มีความสุขมากๆ เป็นเพื่อนกันตลอดไป
ซี

Thursday, April 17, 2008

ปัญหาที่แก้ไม่ตก

หญิงไทยที่มา "ทำงาน" ที่เยอรมันมีเยอะจริงๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่แบบนั้นทุกคน แต่ก็เกือบทุกคน การมาเรียนหนังสือที่นี่ ถ้าไปเจอคนที่มีประสบการณ์แบบนั้นกับผู้หญิงไทยมา ก็ลำบากไม่น้อย แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าเราไม่คิดไรมาก และเราอยู่ของเราไป มันก็คงไม่รู้สึกอะไรเท่าไร แต่ก็มีฝรั่งบางคนเหมือนกัน ที่ถามในลักษณะไม่ดี

แต่ถ้าถามว่ารังเกียจคนเหล่านั้นมั้ย มันก็สองจิตสามใจนะ หลังจากได้ฟังจากปาก ผู้หญิงคนนึงที่ย้ายจากเยอรมันมาอยู่ลักเซมเบิร์ก เค้าว่า หญิงทำงานส่วนใหญ่มีสามีเป็นฝรั่ง

เฮ้ยพี่ มีสามีแล้วไปทำงานอย่างนั้นได้ยังไง
ก็นั่นแหละ สามีเงินเดือนไม่เยอะ ก็ให้เมียไปทำงาน
เฮ้ย...
หรือไม่เค้าก็ส่งครอบครัวที่เมืองไทยไม่ไหว ก็ต้องไปทำงาน
เฮ้อ...

มันก็ใช่ว่าหางานอื่นก็ได้ แต่ลองคิดดูนะ ว่าจะมีสักกี่งานให้คนเหล่านี้ทำ...
บ้างจบประถม อย่างดีก็จบม.ต้น ถึงอยู่มานาน ก็ใช่ว่าภาษาจะดี
จะเรียนภาษามันก็ต้องใช้เงิน ทักษะการเรียนรู้ก็มีทุนมาน้อย เค้าก็ลำบากไม่ใช่น้อย
จะใช้ความคิดอย่างคนที่ได้รับการศึกษามาเต็มที่ตั้งแต่เด็กตัดสินเค้า บอกกันง่ายๆว่า พยายามสิ หางานอย่างอื่นก็ได้นิ ทำไมต้องทำงานแบบนี้ ดิ้นรนสิ มันเทียบกันไม่ได้ มันทำกันไม่ได้ทุกคน

บอกตรงๆว่าเห็นใจ... ไม่ใช่ว่าเค้าเลือกมาเอง แล้วเราจะไม่เห็นใจเค้า โอกาสทางการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่โตจริงๆ นี่ยังไม่ได้พูดถึง "คุณภาพ" เลยนะ

แต่อย่างน้อย เท่าที่ฟังมาน่ะนะ คนทำงานเหล่านั้น เค้าก็ไม่ได้ถูกกดขี่อะไร ก็เต็มใจทำกันเอง มันก็ยังดีในระดับนึง

ได้ฟังเรือ่งชาวนามาอีกอย่าง คือพี่คนนั้นเค้าต้องส่งเงินกลับบ้าน
ไอ้เราก็รู้ว่าช่วงนี้ราคาข้าวดี เค้าก็น่าจะได้กำไรกันมากขึ้น
แต่จริงๆแล้วชาวนาไม่ได้อะไร กำไรเท่าเดิม เรียกว่าอยู่ได้มีใช้จ่าย แต่ไม่เหลือเก็บ พวกนายทุนสิที่ได้กำไรมาก
เพราะเค้าใช้ระบบไปกู้เงินนายทุนมาทำนา เอามาลงทุน ค่าปุ๋ย ค่าน้ำมันปันน้ำเข้านา ค่าไถหว่าน
พอได้ข้าวก็เอาข้าวไปให้นายทุนแทนเงินที่กู้มา มันก็ไม่เหลือเก็บสิ และไม่ได้ราคาตามตลาดด้วย
ทำไมชีวิตชาวนามันลำบากอย่างนี้ฟ่ะ นี่ยังดีที่บ้านพี่เค้าไม่ได้เช่าที่นาทำนา มีที่เป็นของตัวเอง ถ้าต้องเช่าที่ด้วย กู้เงินมาทำนาอีก แล้วเมือ่ไรชาวนาบ้านเรา จะได้ลืมตาอ้าปากกันซักที ไม่น่าแปลกใจถ้าเค้าได้เงินก้อนจากใครแล้วจะทำให้เค้าซาบซึ้งจริงๆ

การได้รู้จักคนไทยส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ทำให้รู้สึกหดหู่ ทำไมคนบ้านเราถึงได้ลำบากอย่างนี้ และคนเหล่านี้ที่มาอยู่ส่วนใหญ่ ก็ไม่สามารถถีบตัวเองให้อยู่ในสังคมของคนที่นี่ได้อย่างภาคภูมิ นี่มันเรื่องเศร้าชัดๆ...

Sunday, April 13, 2008

Friday, April 11, 2008

เมนูนี่ชื่อว่า วุ้นเส้นผัด(ไท)

สำหรับเส้น 250 g. ใกล้จะกินก็จับแช่น้ำไว้ก่อน ปล. เราชอบแช่น้ำให้มันอวบๆหน่อย แต่อย่านิ่มไป เพราะเด๋วจะเละเวลาผัดนะ

ทำน้ำซอสไว้ก่อน ง่าย และเร็วดังนี้
น้ำมะขามเปียก หกถึงเจ็ดช้อนโต๊ะ ชอบเปรี้ยวมากก็ใส่มาก หรือทำน้ำให้ข้นเข้าไว้
ซอสมะเขือเทศ สี่ถึงห้าช้อนโต๊ะ 
ซีอิ๊วขาว สองช้อนโต๊ะครึ่ง
น้ำตาลทราย หกช้อนโต๊ะ (ถ้าไม่มีน้ำตาลปี๊ปนะ แต่ถ้ามีน้ำตาลปี๊ป ให้ใส่สองช้อนน้ำตาลทราย และ สามช้อนน้ำตาลปี๊ป)
เกลือป่น หนึ่งช้อนชา
พริกป่น สองช้อนชา

เอ้าหิวแล้วๆ ตั้งเตาไฟกลางน้ำมันพอร้อนใส่กระเทียมและหอมสับละเอียด พอหอมก็ใส่ไก่ฉีก หรือไข่
พอไข่สุก ก็ใส่ซอสโลด
ผัดซอสแผล่บนึง ก็ใส่เส้นที่แช่นุ่มดีแล้วลงปาย
ผัดๆให้ซอสกับเส้นเข้ากัน แล้วก็ให้เส้นสุก
ใส่กุ้ยช่ายหั่นท่อน และถั่วงอก ผัดไม่กี่ทีก็ยกขึ้นได้ละ อิอิ มีภาพด้วยน้า แต่ยังไม่ได้ทำ เด๋วเอามาอัพให้ทีหลัง


Wednesday, April 9, 2008

ขี่จักรยานท่ามกลางหิมะครั้งแรก

ตั้งแต่วันที่ยี่สิบเอ็ดมีนาคมที่ผ่านมา ยุโรปก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็อุ่นขึ้นเล็กน้อย (อุณหภูมิประมาณสิบองศา) ไอ้เราก็คิดว่าสบายล่ะ เริ่มขี่จักรยานได้แล้ว

อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็เลยเอาซะหน่อย ขี่เล่นจากหอตรง Rue de Neudorf ผ่าน Clausen ไปทาง Beggen (เบคเค่น)

เส้นทางนี้ส่วนใหญ่เราจะเห็นได้จากสะพานแดง (Red Bridge ถือเป็นชื่อเล่นของสะพานนี้เพราะมันมีสีแดงสด) หรือตอนที่นั่งรถเมล์ลงมาจาก Hamillius แต่จะไม่ได้ใช้เลยในเวลาปกติ สิ่งที่เห็นจากด้านบนก็คือบ้านสลับกับตรอกซอยไม่กว้างนัก รายเรียงอยู่สองข้างแม่น้ำสายเล็กๆ มีสวนสาธารณะและสวนเด็กเล่น มีสะพานเล็กๆหลายอันเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำเอาไว้ ในวันที่มีหมอก เมืองด้านล่างจะดูเหมือนดินแดนห่างไกล และสงบ ไม่มีรถขวั่กไขว่ มีแต่เด็กๆเล่นกัน หรือคนแก่เดินเล่นซึ่งจะมีให้เห็นทุกๆวัน

พอได้มาขี่จักรยานชมเมืองส่วนนี้ ก็เลยได้รู้ว่า บริเวณนั้นมีที่พักคนชราอยู่ด้วย เป็นส่วนที่สวยมากเลยทีเดียว เพราะด้านข้างมีสวนขนาดใหญ่ ประดับด้วยพุ่มไม้ไม่สูงนัก พร้อมที่นั่งมากมายเป็นระยะๆ ด้านหลังเป็นแม่น้ำที่มีเขื่อนเตี้ยๆทำให้เกิดเสียงจากน้ำที่ไหลล้นเขื่อนลงไปเป็นน้ำตก ซู่ซ่าจริงๆ ฟังแล้วเพลินมากๆ น้องเป็ดน้ำ ก็ลอยคอกันเป็นคู่ๆ บ้างก็ว่ายน้ำตามกัน บ้างก็บินเล่นขึ้นลงระหว่างฝายกั้นน้ำเล็กๆกับแม่น้ำข้างล่าง ภายในที่พักคนชราทันสมัยและสะอาด โถงตรงกลางเป็นห้องใหญ่ เพดานอยู่สูงขึ้นไปและเป็นกระจก ทำให้เห็นแสงจากภายนอกได้ ที่มุมนึงของโถงถูกจัดเป็นมุมเครื่องดื่ม เหมือนบาร์ทั่วไป

ที่ต้องเข้ามาในอาคารที่พักคนชรานี้มีสาเหตุ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อนะ

นอกจากมีอาคารสำหรับคนชราแล้ว ก็ยังมี Youth Hostel อีกด้วย บรรยากาศง่ายๆสะอาดๆ เราแวะเข้าไปดูนิดนึง เนื่องจากมักจะได้รับใบปลิวโฆษณาเรื่องอาหารประจำวันอยู่บ่อยๆ

ตั้งใจว่าจะขี่ไปให้ถึงเมือง Beggen แต่ฝนดันตกเล็กน้อย ฟ้าก็มึดเหลือเกิน กลับดีกว่า...

พอหันหลังกลับไม่ทันไร ก้อนน้ำแข็งลูกเล็กๆก็เริ่มโปรยตัวลงมา
จากนั้นก็ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นหิมะซะงั้น เฮ้อ... ตูละกลุ้ม
พยายามขี่ไปให้ไกลที่สุด แต่มันหนาวมากๆ แล้วหิมะก็เข้าหน้า เลยต้องมาแวะครั้งแรกที่อาคารที่พักคนชรานี่แหละ รอได้สักพัก มันเบาลง เลยกะรีบขี่ต่อดีกว่า ที่ไหนได้ขี่กลับมาถึง Youth Hostel มันก็ตกหนักลงมาอีก

คราวนี้เราต้องนั่งและสั่งซุปมากินเลยแหละ เพราะหิมะตกหนักมาก แป๊ปเดียว ต้นไม้ รถ พื้น ก็กลายเป็นสีขาวไปทั้งหมด

ทุ่มนึงแล้ว อีกไม่นานฟ้าจะมืด หิมะก็ยังไม่หยุดตก ช่วยไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องกลับ ถ้ามืดจะยิ่งแย่เพราะมองไม่เห็นถนนไกลๆ แถมถนนยังแคบ และคงจะลื่นจากหิมะด้วย เลยตัดสินใจขี่กลับ

ตอนลงมาเจอจักรยานตัวเองถึงกับช็อค เพราะว่าหิมะอยู่บนจักรยานหนาหลายนิ้วเลย ต้องปาดออกอยู่ซักพัก พื้นก็ลื่นมากๆ ต้องเดินลากจักรยานไปถึงถนนที่มีรถวิ่งไปมาแล้วค่อยขึ้นขี่

แต่มันก็สวยมากเลยนะ สำหรับตอนที่หิมะตกหนัก แต่ไม่เป็นก้อนน้ำแข็งแบบนี้ แต่ก็น่ารำคาญพอกัน เพราะมันจะเข้าไปในหูหรือปากตลอดเลย (แต่ก็ดีกว่าก้อนน้ำแข็งเจ็บๆล่ะนะ ฮ่าๆๆๆ)

เอาเป็นว่าเอาตัวรอดกลับถึงบ้านได้โดยปลอดภัย โดยบนจักรยานมีน้ำแข็งมากมายมาฝากหอ ต้องเช็ดทั้งจักรยานและพื้นด้านล่างซะอีก เฮ้อ

แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีนะ ที่สำคัญที่ที่ได้ไปเนี่ย สวยมากๆๆ รวมๆแล้วทริปนี้สนุกจัง เย้ๆๆๆ

Saturday, April 5, 2008

Namur - Confiseur 1863 (introduction)

Without an intention to advertise this shop, I write this blog just for improving my french skill. Reading its brochure, information about cakes or "les gâteaux" are given all in French. Here I give you those information and also their explanation.

Les gâteaux NAMUR, savoureux par nature
(cakes Namur, taste from nature)

Tous nos prouits sont fabriques quotidiennement de façon artisanale, selon les recettes ancestrales avec les meilleurs ingrédients et ne connaissent ni conservateurs, ni conservation par surgélation.
(all our products are make every days in traditional way, according to the original recipes with the best ingredients and without preservative materials and/or preservative methods.

Les produits Namur sont frais et de toute première qualité.
(Products Namure are fresh and of all first class quality)

Vocaburary
Les gâteaux = cakes
savoureux = (adj) tasty
par = (prep) by, from, through
Tous, toute = all
nos = our
produits = products
sont = verb form "être"
fabriqués = (v) make
façon = (n) way
artisanale = (adj) traditional, home-made
selon = (prép) according to
les recettes = (n) recipe

Friday, April 4, 2008

Melusina

Melusina is said to have been the wife of the founder of Luxembourg, Count Siegfried. When they married, she had one particular request, namely that Siegfried must leave her alone for one full day and night every month, and that he should not ask or try to find out what she was doing. Of course, Melusina was such a beautiful girl that Siegfried could not refuse her this one small wish, and all went well for years and years, when on the first Wednesday of the month, Melusina would retire into her chambers in the "Casemates", a network of caverns underneath the city, not to be seen again until early light on Thursday.

But one day, Siegfried's curiosity got the better of him. Wondering what on Earth she might be doing alone all the time, he peeped through the keyhole, and was shocked to see that Melusina was lying in the bathtub, with a fishtail hanging over the rim. As you all know, mermaids like Melusina, have a very keen sixth sense, which tells them instantly that they are being watched, and thus she recognised her husband through the door, and jumped out of the window into the river Alzette below, never to be seen again ... except every now and then, some people say they saw a beautiful girl's head pop out of the river, and a fishtail rippling the calm waters of the river Alzette.

นกเป็ดน้ำ ก็อยากพักผ่อน ชมวิวกะเค้าเหมือนกัน

นกเป็ดน้ำ ก็อยากพักผ่อน ชมวิวกะเค้าเหมือนกัน

นั่งรถเมล์ผ่านที่ um bock ก็เจอว่าเจ้านกเป็ดน้ำ นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนกำแพงของ บอค ที่ลึกลงไปจากกำแพงน่าจะสูงราวๆตึกยี่สิบถึงสามสิบชั้น ด้านล่างเป็นลำธารเก่าแก่ของเมืองตัดผ่านส่วนที่เป็นเมืองเก่าของลักเซมเบิร์ก ด้านข้างอีกฝั่งคลองเป็นบริเวณของ Neumunster Abbey ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์และลานโล่งสำหรับทำกิจกรรม ทุกปีจะมีการแสดงน้ำพุประกอบแสงเสียงเริ่องราวเกี่ยวกับ Melusina (Mermaid of Alsette river) รวมถึงกิจกรรมอื่นๆอีกมาก ด้านปลายของบอค เป็นกำแพงน้ำเตี้ยๆ คอยกั้นน้ำที่จะผ่านเข้าไปในบริเวณ Clausen
ปกติก็จะเห็นเจ้านกลอยคออยู่ด้านล่าง วันนี้ไหงมานั่งอยู่ข้างบน อากาศมันดีใช่ม้า อิอิ

สิ่งปกติในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

ปีนี้ก็เข้าฤดูใบไม้ผลิไปแล้ว เค้าว่ากันว่า เสาร์ที่สองของเดือนมีนาคม ก็คือวันเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
ยังไงก็ตาม ปีนี้เรามีหิมะมากมาย กว่าจะเริ่มรู้สึกว่านี่เข้าสปริงแล้วจริงๆ ก็วันนี้นี่เอง

แสงแดดอ่อนๆ ลมเย็นเอื่อยๆ ดอกไม้ผลิบานไปทั่ว ที่สำคัญ เด็กๆเดินออกมากันเต็มไปหมด ที่นี่จะเห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ที่เด็กอนุบาลกลุ่มนึงประมาณสิบถึงสิบห้าคน พร้อมกับคนดูแล ซึ่งก็น่าจะเป็นครูประมาณสองถึงสี่คน พาเด็กๆออกมาเดินเล่นช่วงกลางวัน ทั้งเดิน ทั้งขึ้นรถเมล์ เด็กเดินกันเป็นแถวๆ ตัวงี้เล็กๆ เต็มไปหมด อิอิ น่ารักชะมัด

ไปขี่จักรยานดีกว่า

Thursday, April 3, 2008

น้ำจิ้มข้าวมันไก่ แกงจืดมะระ และ กระเพราไก่

พยายามทำกระเพราไก่ให้อร่อยมาสามวันล่ะ แต่ยังไม่ได้อย่างที่ถูกใจจริงๆซักที ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเราขาด หรือลืมอะไรไป วันนี้ก็เอาอีกแล้ว มันเผ็ดขึ้น และเค็มมากขึ้น แต่กลิ่นยังไม่ใช่ซักที

เมื่อคืนตั้งใจทำแกงจืดมะระให้อร่อยมากๆซักที หลังจากเคยทำด้วยกระดูกหมูแล้วอร่อยมาแล้ว​(แต่ยังไม่มากเข้าใจป่ะ อิอิ) ทีนี้ไอ้กระดูกหมูที่นี่เนี่ย ถ้าไปซื้อในซุปเปอร์ เค้าไมไ่ด้หั่นกระดูกให้อ่ะ แล้วเค้าก็ทำหน้าแปลกๆ เหมือนไม่เคยหั่นกระดูกเป็นข้อๆอีกด้วย มาคราวนี้ อยากได้้น้ำแกงจืดหวานๆ แต่ขี้เกียจไปสู้รบปรบมือกับแม่ค้าในซุปเปอร์มาเก็ตแล้ว เลยเปลี่ยนเป็นมะระต้มปีกไก่แทน ส่วนตัวมะระไม่ได้ไปร้านจีน แต่มีแบบกระป๋องที่ติดห้องไว้อยู่แล้ว ถึงบ้านก็นี่เลย ลวกปีกไก่หกอันด้วยน้ำร้อน แล้วใส่ซีอิ้วขาวพักไว้

หั่น white radish หรือหัวไชเท้า เป็นแว่นๆๆประมาณสองมือหยิบ ทุบกระเทียมสามเม็ดใหญ่ รากผักชีสองราก พริกไทยนิดหน่อย ใส่หม้อแล้วใส่น้ำเดือดลงหม้อหนึ่งลิตร
ถึงตอนนี้หอมรากผักชีกับพริกไทยมากๆ พอน้ำเริ่มเดือดอีกครั้งก็ใส่ไก่ลงไปต้มให้เดือด แล้วลดไฟอ่อน คอยตักฟองขาวออก พอเห็นฟองขาวออกไปเยอะซักพักแล้วก็ใส่มะระกระป๋องพร้อมน้ำลงไป เปิดไฟแรงต้มให้เดือดแล้วปิดไฟ พักไว้

วันรุ่งขึ้น (ก็คือวันนี้) ตื่นเช้ามาก็ตักไขมันที่ลอยอยู่ออกให้หมด แล้วต้มด้วยไฟกลาง เอาฟองขาวออก จนเดือด ใส่ซีอิ้วขาว(คิกโคมัน)หนึ่งวน เกลือครึ่งช้อนโต๊ะ และน้ำตาลนิดเดียว(ครึ่งช้อนชา) แล้วอุ่นด้วยไฟเบาๆ 

ทำน้ำจิ้มไก่ ซึ่งก็คือน้ำจิ้มข้าวมันไก่ ใส่กระเทียม พริกสด และขิง สัดส่วนเดียวกัน ตำให้แหลก จากนั้นใส่เต้าเจี้ยวหนึ่งช้อนชา ใส่น้ำตาลช้อนนึง ซีอิ้วดำ น้ำมะนาว ใส่ผักชีเป็นข้อๆลงไปด้วยจะหอมมั่กๆ น้ำจิ้มอันนี้ไว้กินกับไก่ในแกงจืดมะระ

สรุปว่ามื้อกลางวันกับมื้อเย็นพร้อมทานได้ ต้มมะระอร่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่กระเพรายังต้องปรับปรุง

จบข้าว... เอ๊ย ข่าว

Tuesday, April 1, 2008

cheap phone, high value

วันนี้โทรหาพ่อกับแม่ ได้คุยแล้วชื่นใจจัง เมี๊ยวๆๆๆๆ ซีกับมามี้ก็เลยกลายเป็นแมวกันซะงั้น เมี๊ยวๆกันใหญ่เลย หวังว่าพี่ๆ(น้าๆป้าๆ) ที่ออฟฟิศของแม่จะชินแล้ว พ่อก็ท่าทางจะอยู่กับเพื่อน เพื่อนจะอิจฉามั้ยเนี่ย บอกรักกันใหญ่ ไอ้โทรศัพท์ถูกๆทางเน็ตนี่มันดีจริงๆน้า โทรได้สบายๆ เหมือนโทรคุยมือถืออยู่เมืองไทย ฮี่ๆๆๆ มีกำลังใจแล้วไปทำงานดีกว่า เมี๊ยวๆๆ รักพ่อกับแม่ที่สุดเล้ย​  o^v^o